"กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร"
ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับ ณ คิชฌกูฏบรรพต กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ๑,๒๕๐ รูป ปวงมหาโพธิสัตว์ ๑๒,๐๐๐ องค์ อีกทั้งทวยเทพ นาค และเทพภูติจากคติทั้ง ๘ (ภูตคติ ๘ มี ๒ กลุ่ม หนึ่งคือ เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค อีกกลุ่มคือ คนธรรพ์ ปีศาจ กุมภัณฑ์ เปรต นาค รากษสี ยักษ์ รากษส) มนุษย์และ อมนุษย์ ต่างมาร่วมประชุมสันนิบาตเพื่อสดับการแสดงธรรม
ก็โดยสมัยนั้นพระโลกนาถได้อาศัยพุทธานุภาพ เปล่งฉัพพรรณรังสี รังสีทั้งห้า สีเขียว เหลือง แดง ขาว เป็นอาทิ ท่ามกลางสีต่าง ๆ มีนิรมานกายแห่งพระพุทธเจ้าอันประมาณมิได้ ต่างสามารถดำเนินในพุทธกิจอันเป็นอจินไตย แต่ละนิรมานกายของพระพุทธเจ้า มีนิรมานกายของพระโพธิสัตว์อันประมาณมิได้ ที่สรรเสริญพระพุทธคุณอยู่ รังสีวิเศษสุขุมจนยากหยั่งถึง เบื้องบนจรดเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เบื้องล่างจรดอเวจีมหานรก และนิรยสถานอีกแปดหมื่น โดยไม่มีที่ใดมิได้ส่องถึง สรรพสัตว์ผู้ได้ประสบกับพุทธรังสีนี้ ย่อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า และบรรลุในอุปจารสมาธิทั้งสิ้น
ท่ามกลางสรรพสัตว์นั้น มีพระโพธิสัตว์ผู้เพิ่งบังเกิดโพธิจิต ๔๙ คน ล้วนปรารถนา จักขอความมีอายุวัฒน์จากพระพุทธองค์ แต่มิอาจทูลถาม ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์มัญชุศรีได้ล่วงรู้ในความสงสัยนั้น จึงลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าด้วยการลดไหล่ขวา ประคองอัญชลีมายังพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามว่า ข้าพระองค์พบว่าในสันนิบาตนี้มีผู้ที่มีความสงสัย บัดนี้ปรารถนาใคร่ทูลถาม ขอพระตถาคตโปรดสดับด้วยเถิด
พระพุทธองค์ตรัสว่า สาธุ สาธุ สาธุ มัญชุศรี เธอมีข้อสงสัยใด ก็ถามมาเถิด
พระมัญชุศรีทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สรรพสัตว์ทั้งหลายในโอฆสงสาร(โอฆสงสาร หมายถึง การท่องเที่ยวอยู่ในห้วงน้ำ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด) กระทำอกุศลกรรมต่าง ๆ กัลป์แล้วกัลป์เล่า วนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหก แม้นได้กายเป็นมนุษย์ ก็ได้รับวิบากให้อายุสั้น จักทำไฉนจึงมีอายุขัยยืนยาว สลายปวงอกุศลกรรมได้ ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงในธรรมแห่งความอายุวัฒน์ด้วยเทอญ
พระพุทธองค์ตรัสว่า ม้ญชุศรี เธอมีมหาเมตตาอันหาที่สุดมิได้ ที่ได้ระลึกถึงสรรพสัตว์ผู้มีบาปและเป็นทุกข์ จึงสามารถถามในสิ่งนี้ แต่หากตถาคตกล่าว สรรพสัตว์ทั้งหลายก็มิอาจศรัทธาน้อมรับ
พระมัญชุศรีได้ทูลถามซ้ำว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระสัพพัญญู เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นเสมือนบิดาผู้มีมหาเมตตาปกแผ่มวลสรรพสัตว์ ทรงเทศนาด้วยเอกสำเนียง ทรงเป็นมหาธรรมราชา จึงขอให้พระองค์โปรดสงสาร ตรัสแสดงด้วยไพศาลด้วยเทอญ
พระพุทธองค์ทรงแย้มสรวลแล้วตรัสแด่มหาชนว่า เธอทั้งหลายพึงสดับฟังเถิด ตถาคตจะกล่าวแด่เธอ มีโลกธาตุหนึ่งนามว่า ศุทธิวิมล โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมันตประภาสัมมาทัศนะ เป็นผู้ที่เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ผู้ห่างไกลจากกิเลสและควรบูชา เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ สมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งในโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอมิได้ เป็นผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก มีพระโพธิสัตว์อันประมาณและหาขอบเขตมิได้ แวดล้อมอยู่ด้วยความเคารพ
ในพุทธกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีอุบาสิกานางหนึ่งนามว่า วิปลาส ได้ยินว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกจึงปรารถนาจะออกผนวช นางได้ร่ำไห้คร่ำครวญทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้ามีอกุศลกรรมและปรารถนาที่จะสำนึกขอขมา ขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดสดับฟังข้าพเจ้าด้วยเถิด
ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้ตั้งครรภ์เป็นเวลาแปดเดือนเต็ม แต่ด้วยครอบครัวมิปรารถนาทารกนี้ (ข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจึงได้รับประทานยาพิษสังหารบุตรทำลายครรภ์ บุตรที่สิ้นชีพนั้นได้บริบูรณ์แล้วซึ่งลักษณะแห่งมนุษย์ แต่เคยได้ยินผู้ทรงปัญญากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า หาก (ผู้ใด) ทำลายครรภ์ บุคคลนั้นในปัจจุบันชาติย่อมเป็นโรคร้าย อายุขัยสั้น อีกทั้งต้องตกสู่นรกอเวจี รับทุกขเวทนาแสนสาหัส บัดนี้ข้าพเจ้าใคร่ครวญแล้ว จึงบังเกิดความโศกเศร้าและหวาดกลัวยิ่งนัก ขอให้พระโลกนาถโปรดอาศัยเมตตากรุณานุภาพ แสดงธรรมแด่ข้าพเจ้า ให้ได้ออกผนวชและพ้นจากทุกข์นั้นด้วยเถิด
สมัยนั้น พระสม้ันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ตรัสแก่นางวิปลาสว่า โลกนี้มีกรรม ๕ ประเภทที่การสำนึกขอขมายากจะลบล้างได้ ๕ ประการใดฤา หนึ่งคือฆ่าบิดา สองคือฆ่ามารดา สามคือประหารครรภ์ สี่ยังให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ห้าทำให้คณะสงฆ์แตกแยก อกุศลกรรมเหล่านี้ (ในอนันตริยกรรมทั้งห้า ได้แก่ ปิตุฆาต มาตุฆาต ประหารครรภ์ โลหิตุปบาท สังฆเภท โดยในข้อประหารครรภ์ พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้อธิบายขยายความหมายรวมไปถึงการ อรหันตฆาต หรือ "การฆ่าพระอรหันต์" การประหารครรภ์ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการฆ่าพระอรหันต์ เนื่องจากลักษณะพิเศษของพระอรหันต์ ก็คือ ผู้ที่บริสุทธิ์ไร้กิเลส ดังนั้นการฆ่าเด็กในครรภ์ จึงมีบาปเหมือนฆ่าพระอรหันต์ จะแตกต่างกันก็คือ พระอรหันต์ได้อาศัยกำลังของตนจนสามารถพ้นจากอาสวกิเลส และหลังจากบรรลุแล้วจะไม่ถอยหลังกลับอีก ขณะที่ทารกในครรภ์ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ก็อาจจะหลงไหลในผัสสะ จนตกไปเป็นเวยไนย แต่ไม่ว่าหลังจากเกิดมาจะตกไปในกิเลสหรือไม่ ทว่าในขณะที่อยู่ในครรภ์ ก็ยังเป็นภาวะอันบริสุทธิ์เหมือนพระอรหันต์) เป็นบาปอันยากจะดับได้
กาลนั้น นางวิปลาสได้คร่ำครวญหวนไห้ หลั่งน้ำตาดั่งสายฝน หมอบกราบเบญจางคประดิษฐ์ ณ เบื้องพระพักต์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ผู้ธำรงมหาเมตตาฉุดช่วยรักษาสรรพสิ่ง ได้โปรดเวทนา แสดงธรรมโปรดข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ตรัสย้ำว่า อกุศลกรรมนี้ของเธอจัก(ยังให้)ต้องตกสู่อเวจีมหานรกโดยมิได้หยุดพัก ท่ามกลางนรกร้อน ประเดี๋ยวสายลมหนาวโบกโชย คนบาปนั้นจักรู้สึกเหน็บหนาว ในนรกเย็นประเดี๋ยวมีลมร้อนโบกพัด คนบาปนั้นจักรู้สึกร้อน หากแต่อเวจีมหานรก หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพลิงจากเบื้องบนจะพวยพุ่งจนถึงเบื้องล่าง ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นกำแพงเหล็ก ด้านบนมีตาข่ายเหล็ก ทวารตะวันออกตกทั้งสี่ด้านมีเพลิงกรรมอันเร่าร้อน หากมีเพียงบุคคลเดียว ก็จักเต็มนรกขุมนี้ มีกายสูงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ แม้นมีหลายคน ก็จักเต็มเช่นกัน กายแห่งคนบาป จักมีอสรพิษเหล็กยักษ์พิษร้ายแรง เจ็บปวดทรมานยิ่งด้วยเพลิงอันเร่าร้อน บ้างเข้าทางปาก บ้างเข้าทางจักษุโสต ผูกรัดรอบกาย กัลป์แล้วกัลป์เล่า ข้อต่อแขนขาของคนบาป จะปรากฏเปลวเพลิงเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ ทั้งมีอีกาเหล้กคอยจิกกินเนื้อ บ้างมีสุนัขทองแดงขบกัดร่างกาย นายนิรยบานหัววัว กุมถืออาวุธ ตวาดดุร้ายราวอสนีบาต ด้วยเหตุที่เจ้าได้ทำลายครรภ์ จึงพึงรับทุกขเวทนานี้ หากตถาคตกล่าวมุสาแล้วไซร้ ย่อมมิได้ชื่อว่าเป็นพุทธะ
สมัยนั้นเมื่อนางวิปลาสได้สดับฟังพุทธดำรัสแล้ว ก็ร่ำไห้ปริ่มขาดใจฟุบลงกับพื้น แล้วกราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค มีเพียงข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ต้องได้รับทุกขเวทนานี้ ฤามีสรรพสัตว์อื่นที่ได้รับทุกข์เฉกนี้ด้วย
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสแก่นางวิปลาสว่า บุตรของเธออยู่ในครรภ์ สมบูรณ์ด้วยมนุษย์ลักษณะ อยู่ระหว่างกระเพาะ ลำไส้ อุปมาดังนรกที่มีศิลาสองก้อนกดทับกาย หากมารดากินอาหารร้อน (บุตร) ก็เหมือนอยู่ในนรกร้อน มารดากินอาหารเย็น ก็ราวอยู่ในนรกเย็น ทุกข์ทรมานตลอดวันท่ามกลางความมืดมิด (กระนั้นแล้ว) เธอยังมีใจบาปกลืนกินยาพิษ อกุศลกรรมของเธอนี้ จักยังให้ตกสู่อเวจี มีคนบาปในนรกเป็นสหาย
นางวิปลาสโศกเศร้าคร่ำครวญ แล้วกราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้ยินผู้ทรงปัญญากล่าวเฉกนี้ว่า หากสร้างความชั่วทั้งปวง แต่แล้วได้พบพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ เมื่อขมากรรมแล้วย่อมดับกรรมได้ เมื่อดับชีวิต จะต้องตกสู่นรก หาก (บุตรหลาน) ได้สร้างบุญเล็กน้อย จักได้เกิดบนสวรรค์ ข้อนี้เป็นไฉน ขอพระองค์โปรดตรัสแก่หม่อมฉันด้วย
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสแด่นางวิปลาสว่า หากมีเวไนยสัตว์ใดที่ได้สร้างปวงครุกรรม เมื่อพบพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ (พระสงฆ์ผู้บำเพ็ญอย่างบริสุทธิ์) แล้วขมากรรมด้วยความจริงใจ ไม่กระทำซ้ำอีก บาปนั้นจะดับสลาย เมื่อสิ้นชีพแล้ว ก่อนที่องค์ธรรมราชาพญายมราชจะตัดสิน หากญาติทั้ง ๖ ประเภท(ได้แก่ บิดา มารดา พี่ น้อง ภรรยา บุตร) ที่ยังมีชีวิตอยู่ของผู้ตาย ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ สาธยายมหายานสูตร ภายใน ๗ ทิวา เผาเครื่องหอม(ปัจจุบันคือ การจุดธูป) โปรยบุปผา ยามที่ยมทูตตรวจสอบบุญ บาป ถือธวัชเบญจรงค์มายังตำหนักแห่งพญายมราช เบื้องหน้าและหลังธวัช บรรเลงบทเพลงแซ่ซ้องสาะุการอย่างวิจิตรพิสดาร ไพเราะอ่อนโยน แล้วรายงานต่อพญายมราชว่า บุคคลนี้ได้สร้างสมกุศลไว้
บ้างมีผู้สิ้นชีพจำนวนมากภายใน ๗ ทิวา (เนื่อจาก) ศรัทธาในมิจฉา มีทิฐิวิปลาส มิศรัทธาในพุทธศาสนามหายานสูตร ไร้จิตกตัญญู ไร้จิตเมตตา กรุณา จักมียมทูตถือธวัชดำ เบื้องหน้าและเบื้องหลังธวัช มีปีศาจร้ายอันประมาณมิได้ รายงานต่อพญายมราชว่า บุคคลนี้สร้างสมอกุศลไว้
สมัยนั้น เมื่อพญายมราชธรรมราชาเห็นธวัชเบญจรงค์มาถึง จิตจึงบังเกิดความปีติโสมนัส ประกาศก้องด้วยเสียงอันดังว่า ขอให้กายบาปแห่งข้าพเจ้าจักมีกุศลเช่นท่านด้วย ณ บัดนั้น ท่ามกลางขุมนรก ได้แปนสภาพเป็นบึงน้ำบริสุทธิ์ ภูเขาดาบ ต้นไม้มีด ก็ดุจปทุมมาลย์ วิญญาณบาปทั้งหลายล้วนได้รับความสุขเกษม หากได้เห็นกาฬธวัช พญายมราชจักพิโรธ ตวาดลั่นด้วยพระสุรเสียงอันดุดัน แล้วนำคนบาปไปยังนรกสิบแปดขุม บ้างถูกปีนต้นไม้มีด บ้างขึ้นภูเขาดาบ บ้างนอนบนเตียงเหล็กร้อน บ้างกอดเสาทองแดงร้อน มียมทูตหน้าวัวดึงลิ้น บ้างถูกทุบตำถูกบด ภายในหนึ่งวันตายเกิดหมื่นครั้งวนเวียนเฉกนี้ บ้างต้องสู่อเวจีมหานรก รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส จากกัลป์สู่กัลป์มิได้พักหยุด
(พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต) ยังมิทันตรัสจบ กลางนภากาศ บังเกิดเสียงตวาดอันดุร้ายว่า นางวิปลาส เจ้าได้ประหารครรภ์ จักต้องรับวิบาก คือ อายุสั้น ข้า คือ ยมทูตที่มาจับกุมเจ้า นางวิปลาสพรั่นพรึงร่ำไห้ ยึดพระบาทแห่งพระตถาคต ทูลขอให้พระโลกนาถได้โปรดแสดงธรรมปิฎกแห่งปวงพระพุทธเจ้า (ที่สามารถ) ดับซึ่งปัจจัยแห่งบาป เพื่อให้ตายตาหลับด้วยพระเจ้าข้า
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตอาศัยพุทธานุภาพ ตรัสแด่ยมทูตว่า ดูก่อนอนิจภูต บัดนี้ตถาคตจักแสดงจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรแด่นางวิปลาส โปรดรอสักครู่ยามแล้วย่อมได้ประจักษ์ จงสดับฟังให้ดีเถิด(นางวิปลาส) ตถาคตจักกล่าวแก่เธอ ถึงจิรายุวัฒนสูตรอันเป็นความลับแห่งพุทธเจ้านับพันในอดีต เพื่อให้เธอได้พ้นจากอบายภูมิ
ดูก่อนวิปลาส ด้วยอนิจภูตนั้นแม้นร้องขอก็ยากพ้นได้ ต่อให้นำทอง เงิน ไวฑูรย์ บุษราคัม โมรา ทับทิม จำนวนร้อยพันอันประมาณมิได้ มาไถ่ถอนชิวิตก็มิอาจรอดพ้น แม้นอาศัยอำนาจแห่งพระราชา ราชบุตร มหามนตรีคหบดี เมื่ออนิจภูตมาเยือน ย่อมปลิดปลงชีวิตอันล้ำค่าโดยไม่มีละเว้น
ดูก่อนวิปลาส มีเพียงพระพุทธเจ้า ที่สามารถเว้นจากทุกข์นั้น วิปลาสเอย ในโลกมีบุคคล ๒ ประเภท ที่หาได้ยากยิ่งดุจดอกอุทุมพร(เป็นต้นไม้ในตำนานที่กล่าวกันว่าจะออกผลโดยไม่ผลิดอก โดยสามพันปีจึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง) หนึ่งคือ ผู้มิประพฤติในอกุศลกรรม สองคือ ผู้มีบาปแล้วสำนึกขอขมาได้ บุคคลเฉกนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง เมื่อเธอสามารถอาศัยที่สุดแห่งความจริงใจ สำนึกขอขมาเบื้องหน้าตถาคต ตถาคตจักแสดงจิรายุวัฒนสูตรแด่เธอ เพื่อให้เธอพ้นเสียจากทุกข์จากอนิจภูต
ดูก่อนวิปลาส ในอนาคตโลกแห่งความวุ่นวายและความเสื่อม ๕ ประการ หากมีเวไนยสัตว์กระทำบาปอันสาหัส ฆ่าและทำร้ายบิดา มารดา วางยาพิษทำลายครรภ์ ทำลายสถูปและอาราม
ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ยังให้คณะสงฆ์แตกแยก บาปกรรมเช่นนี้ เวไนยสัตว์ที่สร้างอนันตริยกรรมทั้ง ๕ นี้ หากสามารถยอมรับและเจริญในจิรายุวัฒนสูตรนี้ ได้จารึกคัดลอก อ่านท่องสาธยาย ทั้งคัดลอกด้วยตนเอง จ้างวานให้ผู้อื่นคัดลอก ก็เสมือนบาปนั้นดับสิ้นไป ได้อุบัติในพรหมโลก จักประสาอันใดกับเธอที่ได้พบตถาคตด้วยตนเองเล่า สาธุ วิปลาส ในกัลป์อันประมาณมิได้นั้น เธอได้เคยปลูกฝังกุศลมูลทั้งปวงไว้ บัดนี้ด้วยการปุจฉาอันดี และการสำนึกขอขมาด้วยใจจริงของเธอ จักสามารถเวียนซึ่งอนุตตรธรรมจักร สามารถฉุดช่วยให้พ้นจากโอฆสงสารอันไร้ขอบเขต สามารถผจญกับพญามารวสวตี และโค่นล้มธวัชแห่งวสวตีมารได้ เธอพึงสดับฟังเถิด ตถาคตจักแสดงปฏิจจสมุปบาทธรรมแห่งปวงพระพุทธเจ้าในอดีต
อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยของสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยของผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยของเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยของตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยของอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยของภพ ภพเป็นปัจจัยของชาติ เพราะชาติจึงมีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เมื่ออวิชชาดับสังขารจึงดับ เมื่อสังขารดับวิญญาณจึงดับ วิญญาณดับนามรูปจึงดับ เมื่อนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ เมื่อสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เมื่อผัสสะดับเวทนาจังดับ เมื่อเวทนาดับตัณหาจึงดับ เมื่อตัณหาดับอุปาทานจังดับ เมื่ออุปาทานดับภพจึงดับ เมื่อภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ
พึงทราบเถิดวิปลาส สรรพสัตว์ทั้งปวงมิอาจเห็นในปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นเหตุให้เป็นทุกข์เวียนว่ายเกิดตาย หากมีผู้ใดเห็นในปฏิจจสมุปบาท ก็คือเห็นในธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระพุทธะ เห็นพระพุทธะ ก็คือเห็นในพุทธภาวะ เพราะเหตุดังฤา พระพุทธเจ้าทั้งปวงล้วนอาศัยสิ่งนี้เป็นภาวะ บัดนี้เธอได้สดับฟังตถาคตแสดงปฏิจจสมุปบาท และบัดนี้เธอได้บรรลุในพุทธภาวะอันวิสุทธิ์ เป็นดังภาชนะธรรม ตถาคตจักแสดงเอกธรรมแด่เธอ จงตรึกตรองโดยแยบคาย จงเฝ้ารักษาเอกจิต เอกจิต นั้นก็คือ โพธิจิต โพธิจิตนั้นแลชื่อว่า มหายาน ปวงพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเหตุเพื่อสรรพสัตว์แล้ว จึงแสดงออกเป็นสาม(ตรียาน) เธอจงหมั่นระลึกและรักษาโพธิจิตเป็นนิจ อย่าให้เลือนหาย แม้นมีขันธ์ ๕ อสรพิษ ๔ พิษ ๓ โจร ๖ (ขันธ์ ๕ : รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, อสรพิษ ๔ : ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ, พิษ ๓: โลภ โกรธ หลง, โจร ๖ : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หมู่มารทั้งปวง มาราวี ที่สุดแล้วก็อย่าได้แปรไปจากโพธิจิต ด้วยเหตุที่ได้บรรลุโพธิจิตนี้ กายจึงเป็นดั่งวัชระ จิตเป็นดังอากาศธาตุ ยากที่จะทำลาย ด้วยเหตุที่มิอาจทำลาย จึงได้บรรลุซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ด้วยเหตุที่บรรลุในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ นิจจัง สุข อัตตา วิสุทธิ์ จึงบริบูรณ์ สามารถหลีกห่างจากอนิจภูตและทุกข์จากชาติ ชรา โรคา มรณะ แลนรกทั้งปวง
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนี้แด่มหาชน อนิจภูตกลางนภากาศได้กล่าวขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับฟังพระโลกนาถแสดงธรรมนี้ นรกภูมิก็บริสุทธิ์ กลายเป็นสระโบกขรณี บัดนี้ข้าพเจ้าได้ละซึ่งภพแห่งภูตแล้ว จากนั้นอนิจภูตจึงได้กล่าวย้ำว่า นางวิปลาส เมื่อใดที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว โปรดฉุดช่วยข้าพเจ้าด้วย
สมัยนั้น พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสแด่นางวิปลาส "ตถาคตได้แสดงปฏิจจสมุปบาท และจักแสดงปารมิตา ๖ แด่เธอ เธอพึงน้อมรับปฏิบัติรักษา ปัญญาปารมิตา ฌานปารมิตา วิริยปารมิตา กษานติปารมิตา(ขันติบารมี) ศีลปารมิตา ทานปารมิตา ปารมิตาทั้ง ๖ นี้แล ที่เธอพึงปฏิบัติรักษา
ตถาคตจักแสดงโศลกแห่งปวงพระพุทธะที่บรรลุพุทธะในอดีต ได้ตรัสไว้แก่เธอ ตรัสโศลกเป็นความว่า...
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดและดับเป็นธรรมดา
บังเกิดแล้วย่อมดับไป ความดับสนิทแล คือ ความสุข(อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข)
สมัยนั้น และเมื่อนางวิปลาสได้สดับธรรมแล้วบังเกิดความปีติโสมนัส ดวงจิตผ่องแผ้ว แจ่มแจ้งโดยตลอด อาศัยพุทธานุภาพ เหาะขึ้นไปกลางนภากาศ สูงเท่าตาล ๗ ช่วง และสงบจิตนั่งสงบอยู่
บัดนั้นมีพราหมณ์ตระกูลใหญ่ผู้หนึ่ง ครอบครัวมั่งคั่งหาใครเปรียบ ได้ป่วยเป็นโรคร้ายกะทันหัน แพทย์วินิจฉัยว่าต้องใช้ดวงตามนุษย์ มาประกอบโอสถรักษา เมื่อนั้นมหาคหบดี ได้สั่งให้บริวารเดินไปตามถนนหนทาง ป่าวร้องด้วยเสียงอันดังว่า ผู้ใดสามารถทนต่อความเจ็บปวด ขายดวงตาทั้งสองให้ จักมอบทองคำพันตำลึง พร้อมรัตนะมีค่าในคลังสมบัติให้ตามต้องการโดยไม่เสียดาย
นางวิปลาสได้สดับเช่นนี้ ก็บังเกิดความปีติโสมนัส พลางดำริว่า "บัดนี้ข้าพเจ้าได้สดับจิรายุวัฒนสูตรจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ขจัดสิ้นซึ่งอกุศลกรรม จนจิตใจหมดจด แจ้งในภาวะแห่งปวงพระพุทธะ อีกทั้งหลีกห่างจากทุกข์ แห่งอนิจภูตและนรกได้ เราถึงยอมให้ร่างกายนี้แหลกสลายเพื่อตอบแทนพระกรุณาธิคุณแห่งพระพุทธเจ้า" จึงได้ตะโกนขึ้นว่า "บัดนี้ เรามีอายุ ๔๙ นับจากสดับธรรมนามว่า จิรายุวัฒนสูตร จากพระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้ปรารถนาสละร่างกาย โดยไม่เสียดายชีพสังขาร เพื่อคัดลอกจิรายุวัฒนสูตร ๔๙ ผูก ด้วยปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้น้อมรับปฏิบัติ สวดท่องสาธยาย ข้าพเจ้าจักขายดวงตา เพื่อคัดลอกพระสูตรนี้ ดวงตาของเราไร้ราคา แล้วแต่ท่านจะให้ราคาเถิด"