หน้าเว็บ

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

เหตุใดตัวข้า จึงยากจนยิ่งนัก :ชายยากจนทูลถามพระพุทธเจ้า



     วันนี้เรามีเรื่องราวคติธรรมสอนใจมาฝาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ชายยากไร้ได้ตั้งคำถามทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า…“เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก” พระพุทธองค์จะทรงตอบว่าอย่างไร และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามอ่านกันดูครับ

     กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ

     คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า “บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก” เจ้าหนูพูดขึ้นว่า “ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง” ขอทานถามเจ้าหนู “ทำไมเป็นเช่นนั้น” เจ้าหนูตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ

ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้

เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง

บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย

เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้

ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา

แล้วออกเดินทางต่อไป  ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง  ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ

ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยเผลอยหลับไปแบบงุนงง

ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย

เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู

พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู

ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง

คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1

     พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้

คำถามที่2  ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว

ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?

     ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป

ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป

ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน


ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา

คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ

นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์


เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ท่านมี2ทางเลือก


1. ท่านเผยแพร่ออกไปเต็มความสามารถ ทำให้โลกนี้มีความรักเพิ่มขึ้น
2. ท่านสามารถไม่สนใจ เสมือนหนึ่งท่านไม่เคยเห็นมันเลย


     การแบ่งปันเล็กๆของท่าน อาจสามารถส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนมากมาย คนมีความฝันจึงทำให้ยิ่งใหญ่ การกระทำยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้ของท่านทำให้ท่านเปลี่ยนแปลง


ขอให้ท่านกระจายความรักของท่าน จะช่วยให้คนส่วนมากเติบใหญ่ขึ้น



วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร หน้า 6

          ดูก่อนมัญชุศรี  เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  หากมีมหาอำมาตย์และเหล่าขุนนางที่ได้รับเบี้ยหวัดยศถา  แต่กลับไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะ  ประจบสอพลอไร้ความภักดี  กระทำการหลอกลวง  เป็นขุนนางโจรทำร้ายชาติบ้านเมืองให้ไม่สงบสุข  ข่มเหงปวงประชา  ไม่ดำเนินตามกฎหมาย  รังแกราษฎร  ใช้อำนาจบาตรใหญ่ละโมบทารุณ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์  ชิงทรัพย์สินของผู้อื่น  ดูแคลนพระธรรมคัมภีร์ เป็นมารขัดขวางมหายาน  บุคคลเช่นนี้ ปัจจุบันชาติย่อมมีอายุขัยสั้น  ตกสู่นรกอเวจีอย่างไม่มีกำหนด  หากสามารถสำนึกขอขมา  ยอมรับและเจริญรักษา คัดลอกสวดท่องพระธรรมนี้  ย่อมมีอายุขัยยืนยาว  และรักษาลาภยศนั้นได้ตลอดไป

          ดูก่อนมัญชุศรี  เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  หากมีอุบาสก อุบาสิกา  หลงเชื่อในมิจฉาทิฐิ ไม่ศรัทธาในสัมมาธรรมมหายานคัมภีร์ สรรพสัตว์เหล่านี้  แม้นจักมีเงินทองร้อยพันเป็นอเนกอนันต์  แต่มีจิตใจตระหนี่ถี่เหนียว  แสวงหาเพียงลาภและผลประโยชน์  ไม่ยอมบริจาคทานเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ทนทุกข์ ยากไร้ทั้งหลาย  มิอาจคัดลอกพุทธพจน์สิบสองหมวด รักษาสวดท่อง เพื่อให้พ้นจากความทุกข์จากอนิจภูตและทุคติภูมิ  บุคคลเช่นนี้  เคหะสถานของเขาจะเหลือเพียงความว่างเปล่า  มีปักษีเพลิงลุกขึ้นจากเตาไฟ  มีอสรพิษเข้าสู่ห้องนอน  สุนัขวิ่งขึ้นเรือน  หนูร่ำร้องเป็นเสียงนับร้อย  ทวิชาติจตุบาทเข้าเรือน  ภูติผีปีศาจประหลาดนับร้อยปรากฎ ด้วยเหตุที่พบสิ่งประหลาด ทำให้เป็นทุกข์ เมื่อมีแต่ความทุกข์เศร้าหมอง  ทำให้อายุขัยสั้น  หากสามารถรักษาคัดลอกจารึกพระธรรมนี้  เผยแผ่สวดท่อง  จักสามารถกำจัดอาเพศเหล่านี้  และมีอายุขัยยืนยาว


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลาย  เมื่อบุตรธิดาเติบใหญ่  ด้วยเหตุแห่งความกังวลสงสารทำให้ป่วยเป็นโรคใจ  ด้วยเหตุดังฤา  เมื่อบุตรเติบใหญ่  ถูกเกณฑ์เป็นทหารตามกฏหมายกำหนด  ไม่เป็นตัวของตัวเอง บิดามารดาได้เฝ้าระลึกถึง เรียกว่า เป็นโรคทางใจ  บ้างธิดาเติบใหญ่ ออกเรือนไปยังบ้านอื่น แล้วถูกดูหมิ่นหยามเหยียด  สามีภรรยาไม่ปรองดอง  บิดามารดาเฝ้าระลึกถึง เรียกว่า  เป็นโรคทางใจ  ด้วยโรคทางใจ ทำให้ทุกข์ตรอมตรมหมองเศร้า ประชุมด้วยโรคและความโศก  ยังให้ปัจจุบันชาติมีอายุขัยสั้น  หากสามารถรักษาคัดลอกจารึกพระธรรมนี้ จักมีอายุขัยยืนยาว ด้วยอานิสงส์แห่งพระสูตร  จักทำให้ชีิวิตคู่สมานฉันท์ โรคทางใจมลายสิ้น


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลายปราศจากจิตเมตตากรุณา  เข่นฆ่าชีวิตกลืนกินสรรพชีิวิตและเนื้อทั้งสิบ(พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุฉันเนื้อสิบอย่าง ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อหมี เนื้อสุนัขป่า)  มัญชุศรีพึงทราบเถิดว่า (การกระทำนี้) ดุจการฆ่าบิดามารดา  ดั่งกินเนื้อญาติทั้งหก  บ้างด้วยการคร่าชีวิต  หรือทำลายครรภ์ ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้ปัจจุบันชาติมีอายุขัยสั้น  ในยามที่สามีภรรยาร่วมประเวณี จักถูกรากษสร้ายกลืนกินครรภ์นั้น(กลืนกินเชื้อ) เป็นเหตุให้ไร้บุตร หากสามารถรักษาคัดลอกจารึกพระธรรมนี้ จักสามารถเว้นจากทุกข์ดังกล่าวได้


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไร้ซึ่งบุพเพนิวาสานุสติญาณ(ญาณระลึกชาติ เป็นหนึ่งในอภิญญา ๖) ชั่วขณะที่ได้เกิดกายเป็นมนุษย์ ก็สำคัญว่าเป็นสุข  ทำการให้ร้ายป้ายสี ถือดีในลาภยศ  บังเกิดอกุศลจิตนานับประการ ข่มขู่ชีวิตผู้อื่น มิเลื่อมใสในพระธรรม นโสโอหังต่อมหายานธรรม  บุคคลเยี่ยงนี้ ปัจจุบันชาติจักมีอายุขัยสั้น  แต่หากอาศัยที่สุดแห่งการสำนึกขอขมา  ปรับปรุงจิตใจให้อ่อนโยน คัดลอกจารึกพระธรรมนี้  เจริญรักษาสวดท่อง ด้วยกำลังของกุศลมูลนี้ จักยังให้พ้นจากโรคาภัย ไม่ต้องตายโหง 


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลายบ้างได้รับพระบัญชาจากพระราชา บ้างได้รับคำสั่งจากบุพการี ให้เดินทางไปยังบ้านเมืองอื่นหรือสถานที่อันตราย เพื่อประกอบกิจการค้าแสวงหาทรัพย์สินมีค่า  ด้วยเหตุที่มีทรัพย์ศฤงคารมาก จึงบังเกิดความยโสถือดี  เล่นการพนัน มัวเมาในการละเล่น  ลุ่มหลงกามราคะ  คบหามิตรชั่ว  ไม่ปฏิบัติตามบัญชาพระราชา  ไม่ฟังคำสอนของบุพการี ติดในสุรานารี  ทำลายสังขารและชีิวิต  แม้นมีทรัพย์สิน แต่ลุ่มหลงในสุรา  จึงมิรู้ว่า หนทางปลอดภัยหรืออันตราย  ภายหลังถูกโจรผู้ร้ายปล้นชิงทรัพย์สิน  จนเป็นภัยแก่ชีวิต  หากสามารถจารึกคัดลอกพระธรรมนี้  ตั้งปณิธานแผ่ไพศาล ทุกสถานที่ดำรงอยู่  โจรร้ายจักหลีกลี้  บังเกิดจิตปีติโสมนัส  บรรดาสัตว์ร้ายไม่กล้ำกราย  กายใจสงบสุข  ได้รับทรัพย์ศฤงคารเป็นอันมาก  ด้วยกำลังแห่งพระธรรมนี้จักทำให้อายุขัยยืนยาว


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสุ่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลาย  ด้วยเหตุแห่งอกุศลกรรม  ยามสิ้นชีพจึงตกสู่นรกภูมิ  เมื่อพ้นจากนรกจักได้รับกายของเดรัจฉาน  แม้ได้รับกายมนุษย์  อายตนะ ๖  ก็มิสมบูรณ์ หูหนวก  ตาบอด  เป็นใบ้  บ้างพิการหลังค่อม  มีกายเป็นสตรี มิรู้จักพระธรรมและอักษร หากเกิดเป็นบุรุษ  ด้วยเหตุแห่งอกุศลกรรม  ทำให้โง่เขลาปัญญาทึบ  มิอาจอ่านท่องจิรายุวัฒนสูตรนี้  ดวงจิตบังเกิดความทุกข์ตรม  ด้วยเหตุแห่งความทุกข์ตรม  จึงชื่อว่าเป็นโรคใจ  และด้วยเหตุแห่งโรคใจ  ทำให้ปัจจุบันชาติมีอายุขัยสั้น  หากสามารถทำให้กัลยาณมิตร คัดลอกจารึกพระธรรมนี้  แล้วนำไปแจกจ่าย  มีจิตเคารพเลื่อมใสด้วยที่สุดแห่งศรัทธาโดยตลอดแต่ต้นจนจบ  จึงเป็นกุศลอันประมาณมิได้  อกุศลกรรมเหล่านี้ ก็มิต้องรับอีก  บุคคลผู้นั้นในปัจจุบันชาติ ย่อมมีอายุขัยยืนยาว


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  หากมีสรรพสัตว์ หลังจากสิ้นชีพแล้ว  ในเจ็ดทิวาแรก จนถึงเจ็ดทิวาที่เจ็ด(ช่วง ๔๙ วันหลังเสียชีวิต) กุศลที่ได้สร้างให้ผู้ล่วงลับ  ๗ ส่วน  ผู้ตายจะได้รับเพียง ๑ ส่วน  แต่หากในยามมีชีวิต  ได้ใช้เวลาเจ็ดเจ้ดทิวา(๗ วัน ๗ รอบ  เท่ากับ  ๔๙  วัน)  หยุดพักกิจการทางบ้าน คัดลอกจารึกพระธรรมนี้  สักการะด้วยบุปผาและเครื่องหอม  อาราธนาพระพุทธเจ้า นิมนต์พระสงฆ์ ดำรงชีพด้วยการงดเว้น ๗ วัน(เว้นจากอกุศลกรรมทั้งปวง  เช่น การฆ่า การเบียดเบียน เว้นเนื้อสัตว์ และบำเพ็ญกุศลต่างๆ เช่น บริจาคทาน ศึกษาพระธรรมเจ็ดวัน)  กุศลที่ได้รับดุจเม็ดทรายในคงคานที  ในปัจจุบันชาติ  จะมีอายุขัยยืนยาว พ้นจากทุกข์จาก อบาย  ทุคติภูมิ  ๓  ไปตลอดกาล  เมื่อสิ้นชีพไป  หากญาติมิตรใช้ทรัพย์ของผู้สิ้นชีพในการสร้างกุศล จักได้รับทั้ง  ๗  ส่วน  


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลายหากอกตัญญู  สร้างอนันตริยกรรมทั้ง  ๕  ปราศจากจิตเมตตากรุณาต่อบุพการี  ไม่รักสำนึกพระคุณต่อญาติทั้ง ๖  สมัยนั้นเทวราชผู้ท่องตรวจตราไปทั่วสี่ทวีป  ได้นำพาเหล่าบริวาร  ใช้เวลาสามเดือนจึงมาถึงชมพูทวีป  หากมีสรรพสัตว์  พบเจอโรคร้ายเภทภัย  เทวราชจักกำจัดปีศาจร้าย  เพื่อให้หายดี  หากมวลสรรพสัตว์มีความอกตัญญู  อิจฉาริษยา  ประกอบอกุศลกรรม เจ้าแห่งโรคาปีศาจ จักอาศัยอากาศพิษพ่นให้ป่วยเป็นโรค  ให้เป็นโรคระบาด  โรคร้ายทั้งปวง  บ้างร้อนบ้างหนาว  อ่อนล้าเหน็ดเหนื่อย เป็นไข้จับสั่น ถูกมารและปีศาจร้ายสิง หรือเป็นโรคเรื้อน หากในวันที่  ๑  ของปี  เผาเครื่องหอม  เกลี่ยบุปผาบูชา  รักษากายใจให้บริสุทธิ์ คัดลอกจารึกพระธรรมนี้ จนถึงวันที่ ๗  อาราธนาพระพุทธเจ้า นิมนต์พระสงฆ์ ถือศีลบริสุทธิ์สวดท่อง ด้วยกุศลมูลนี้  ทำให้ชั่วชีวิตมิต้องเป็นโรคาพยาธิ  และด้วยเหตุที่ไร้โรคาพยาธิ จึงมีอายุขัยยืนยาว 


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ที่ด้อยวาสนา  เมื่อกัลป์ใกล้สิ้น  ดวงอาทิตย์ทั้ง  ๗  จะสาดส่อง  แม้จะมีไม่ถึง  ๗  ดวง  ด้วยราชาไร้ธรรม  ทำให้อากาศแห้งแล้ง  สรรพสิ่งบนผืนปฐพี สมุนไพรไพรสณฑ์ ธัญพืชทั้งปวง  ทั้งอ้อย  ผลไม้ ย่อมเหี่ยวเฉาตาย  หากมีพระราชา  และสรรพสัตว์ทั้งหลาย  ที่สามารถรักษาสวดท่องพระสูตรนี้ นันทะนาคราช  และอุปนันทนาคราช เป็นต้น  จักเวทนาในสรรพสัตว์  นำน้ำจากมหาสมุทรโปรยปรายเป็นสายฝน  แด่ไพรสณฑ์ทั้งปวง  สรรพธัญหารพรรณไม้  ยังความชุ่มชื้นแด่สรรพสัตว์  ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมนี้ จักยังให้มีอายุขัยยืนยาว 


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  หากมีสรรพสัตว์ทั้งหลาย คดโกงตาชั่ง  ได้ทรัพย์โดยมิชอบ  ด้วยบาปกรรมนั้น  เมื่อสิ้นชีพจักตกสู่นรก  เมื่อพ้นจากนรกแล้วจักมีกายเป็นเดรัจฉาน มีวัว ลา ช้าง ม้า สุกร สุนัข แพะ เป็นอาทิ  สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ยุง เห็บ มด  หากมีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์  อาศัยจิตเมตตากรุณา สวดสาธยายพระสูตรนี้ ต่อหน้าเดรัจฉานทั้งหลาย หรือ ยุงและมด เมื่อได้สดับฟังแล้ว ด้วยกำลังแห่งพระสูตร  ยังให้พ้นจากประเภทนั้น ๆ เดรัจฉานเหล่านี้  เมื่อละกายสังขาร  จักอุบัติยังเทวโลก  หากมีพระโพธิสัตว์  ปราศจากจิตเมตตากรุณา มิอาจแสดงธรรมกถานี้ให้กว้างขวาง ย่อมมิใช่สาวกแห่งพระพุทธเจ้า  แต่เป็นสหายแห่งมาร  


         ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  สรรพสัตว์ทั้งหลาย  หากบังเกิดจิตยโสดูแคลน ไม่ศรัทธาในพระสูตรนี้  กล่าวให้ร้ายธรรมแห่งตถาคต  หากที่ใดมีการแสดงธรรม  ก็ขาดซึ่งใจที่จะรับฟังศึกษา  ด้วยบาปกรรมนี้  ในปัจจุบันชาติย่อมมีอายุขัยสั้น  ตกสู่นรกขุมต่าง ๆ  หากที่ใดที่มีการสาธยายจิรายุวัฒนสูตรนี้  หากสรรพสัตว์ทั้งหลายสามารถไปสดับฟัง  หรือส่งเสริมให้ผู้อื่นไปสดับฟัง  แบ่งที่นั่งให้สดับฟัง  บุคคลเหล่านี้  คือ  เสาคานแห่งพระพุทธเจ้า  จักมีอายุขัยยืนยาว  มิต้องตกสู่อบายภูมิ  การสาธยายพระธรรมนี้  สามารถจัดตั้งสถานที่อันบริสุทธิ์ เล็กใหญ่ตามสถานที่


          ดูก่อนมัญชุศรี  หลังตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  บรรดาสตรีทั้งหลายที่กายมีการตั้งครรภ์  แล้วเข่นฆ่าชีวิตสัตว์  บริโภคไข่สัตว์ปีกทั้งหลาย  นับว่าขาดจิตเมตตาสงสาร  ในชาติปัจจุบันจักมีอายุขัยสั้นเป็นวิบาก  ยามใกล้คลอดจักคลอดยาก  ด้วยเหตุที่คลอดยาก  อาจทำให้ชีวิตสิ้นลง (หากคลอดมาได้)บ้างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวร  มิใช่กัลยาณมิตร  หากสามารถตั้งปณิธานเผยแผ่ให้กว้างขวาง  คัดลอกจารึกพระธรรมนี้  จักยังให้คลอดโดยง่าย  ไร้นานาอุปสรรค  มารดาและบุตรปลอดภัยเป็นสุข  ปรารถนาบุตรหรือธิดาก็จักได้ตามปรารถนา


          สมัยนั้นสมเด็จพระโลกนาถ  ตรัสแก่พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า  บัดนี้ตถาคตได้แสดงจิรายุวัฒนปฏิจจสมุปบาทพุทธภาวะสูตร  อันเป็นสิ่งที่ปวงพระพุทธเจ้าในอดีตก็ล้วนแสดงไว้  หากมีสรรพสัตว์  เจริญรักษาสวดท่อง ย่อมได้รับวาสนาอันมหาศาล เมื่อสิ้นอายุขัย  คือ  ครบร้อยยี่สิบปีแล้ว  ในยามละสังขาร  มิต้องรับทุกข์จากลมศาสตราทั้งปวง  ด้วยพุทธภาวะนั้น  ได้บรรลุวัชรนิตยกายของปวงพระพุทธเจ้า  บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทุกดำริมั่นคง ดำรงอยู่ที่ใดก็มักจะมีพระโพธิสัตว์ หนึ่งนามอวโลกิเตศวร สองนามมหาสถามปราปต์ ทรงเมฆเบญจรงค์ ช้างเผือก ๖ งา  ทรงปัทมอาสน์ มารับผู้เจริญพุทธานุสติไปอุบัติยังอจลภูมิ(ภูมิที่ไม่หวั่นไหว อาจหมายถึง พุทธเกษตร  หรือสุขาวดี) เป็นผู้ที่มีธรรมชาติสุขเกษม มิต้องผ่านอขณะแปด(สัตว์ ข ประเภทที่ยากจะพบพระพุทธเจ้า หรือ ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้แก่ ๑.สัตว์นรก ๒.สัตว์เดรัจฉาน ๓.เปรต ๔.เทวดาที่อายุยืน ๕.คนที่เกิดในปัจจันตประเทศ ๖.คนพิการ ๗.พวกมิจฉาทิฐิ ๘.สมัยที่ว่างจากพระพุทธเจ้า)


          มัญชุศรีพึงทราบเถิด  สรรพสัตว์ผู้ลุ่มหลง  มิอาจรู้หรือแจ้งว่าชีิวิตนั้นสั้นและเปราะบาง ดุจประกายไฟจากศิลา ดุจดั่งฟองบนน้ำ ดุจดั่งสายฟ้าแลบ  เหตุไฉนเมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งนี้จึงยังมิตระหนกหวั่นเกรง  เหตุไฉนอยู่ท่ามกลางสิ่งนี้จึงยังละโมบในลาภผล เหตุไฉนอยู่ท่ามกลางสิ่งนี้ยังลุ่มหลงมัวเมาในสุรา ราคะ  เหตุไฉนอยู่ท่ามกลางสิ่งนี้จึงบังเกิดจิตอิจฉาริษยา  ต้องเกิดตายพเนจรไปในสังสารวัฏเยี่ยงนี้  มีเพียงปวงพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์  จึงบรรลุถึงฝั่งกระโน้น(ฝั่งนิรวาน (นิพพาน)) แต่สรรพสัตว์ปุถุชน ย่อมจมปลัก (อยู่ในสังสารวัฏ) อนิจภูตย่อมมาโดยไม่จำกัดกาล แม้นมีทรัพย์สินเงินทองอันประมาณมิได้  การขอไถ่ซื้อชีวิตนี้ หาได้ไม่  พึงพิจารณากายนี้แล้วบังเกิดมนสิการว่า  กายนี้ดุจอสรพิษทั้งสี่  มี หนอน แมลง อันประมาณมิได้คอยแทะกินตลอดเวลา  เป็นกายอันเน่าเหม็น  มีโลภและตัณหาผูกมัด กายนี้น่ารังเกียจ ดุจซากสุนัข 


          กายนี้คือ อสุภะ  มักมีของเหลวไหลออกจากทวารทั้ง  ๙  กายนี้ดุจเมืองที่มีรากษสอาศัยอยู่ภายใน  กายนี้มินานจักเป็นอาหารของแร้งและสุนัขหิวโหย  จงสละกาย(ละความยึดมั่นถือมั่นในกาย) อันสกปรกแล้วแสวงหาโพธิจิตเถิด  พึงพิจารณากายนี้ว่าเมื่อละสังขารของเหลวย่อมไหลออก  สองมือแบหงาย  เจ็บปวดยากทนทาน  ยามชีวิตขาดสิ้น  ๑  วัน  ๒  วัน  จนถึง  ๕  วัน  จะอืดพองเขียวช้ำ  น้ำหนองไหลออก บุพการี ภริยา บุตร ล้วนมิปรารถนาพบเห็น  กระทั่งกระดูกในกายเกลื่อนบนผืนดิน  กระดูกขากระจัดกระจาย   กระดูกไหล่  กระดูกน่อง  กระดูกสะโพก  กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง  กระดูกศรีษะ  หัวกะโหลกต่างอยู่คนละที่ เนื้อ ไส้ กระเพาะ ตับ ไต ปอดล้วนเป็นที่ประชุมของหนอน  เหตุไฉนท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ จึงดำรงชีวิตด้วยอัตตา  เงินทอง  อัญมณี  ทรัพย์สมบัติ  ในยามมีชีวิตหาได้เกี่ยวข้องกับตนไม่  


          หากมีสรรพสัตว์ ต้องการพ้นจากทุกข์นี้ พึงมิเสียดายปราสาทราชมณเฑียร ภริยา บุตร ศีรษะ ดวงตา ไขกระดูก แล้วคัดลอกจารึกพระสูตรนี้  เจริญปฏิบัติ อ่านท่องขุมทรัพย์อันเร้นลับของปวงพระพุทธเจ้า  คือ  ปฏิจจสมุปบาทธรรม  ให้มีการเผยแผ่สักการะ มิลืมเลือนทุกขณะจิต  จักบรรลุในอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตอันยากจักทำลาย  มิต้องถูกเบียดเบียนให้มรณะร้าย หรือมรณะก่อนกาลอันควร  


          เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้แสดงปฏิจจสมุปบาทพุทธภาวะธรรมแล้ว  ในมหาสันนิบาต ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพนาค สัตว์ในคติทั้งแปด  มนุษย์และอมนุษย์ต่าง ๆ พระเจ้าปเสนทิโกศล พร้อมด้วยบริวาร อันมีจำนวนดั่งเม็ดทรายในคงคานที  ต่างได้บรรลุถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต และอนุตปติกธรรกษานติ  พร้อมสรรเสริญว่าสิ่งนี้มิเคยปรากฏมาก่อน  จากนั้นจึงอภิวาทด้วยเอกจิต เจริญรักษาด้วยปีติ ด้วยประการฉะนี้ 








*** จบ ***


กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร หน้า 5

          สมัยนั้น มีรากษสผู้เหาะเหินในอากาศ  รากษสผู้เสพกินทารก  ผู้เป็นบดี (แห่งรากษส) พร้อมบรรดาบริวารจำนวนเดียวกัน ได้ร่อนลงจากนภากาศ  ทักษิณาวัตรพระพุทธองค์พันรอบ  แล้วกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระโลกนาถ นับอนันต์กัลป์มานี้ ข้าพระองค์มีกายเป็นรากษส บริวารของข้าพระองค์มีมากดั่งเม็ดทรายในคงคานที  ล้วนมีความบีบคั้นอันเกิดจากความหิวโหยในทั่วจตุรทิศ  เฝ้าเสพเลือดเนื้อของทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด  บริวารแห่งข้าพระองค์จักคอยยามที่หมู่สัตว์หญิงชายเสพสังวาส แล้วกลืนกินน้ำสุกกะ(น้ำอสุจิ) ยังมิให้ตั้งครรภ์  บ้างข้าพระองค์ก็ตามเข้าไปในครรภ์  ทำลายครรภ์แล้วเสพกินเลือด แรกเกิด  ๗  ทิวา  หมู่ข้าพระองค์จะเฝ้าคอยท่า  ทำลายชีวิต  จนถึงอายุ  ๑๐  ขวบ  หมู่ข้าพระองค์จักคอยแปลงกายเป็นหนอน  แมลงพิษต่าง ๆ เข้าสู่ท้องของกุมาร  เพื่อดื่มกินเลือดและอวัยวะภายในทั้ง  ๕ (หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต)  ให้เด็กสำรอกนม ถ่ายท้อง  เป็นฝีในท้อง  ไข้จับสั่น ตาบวม ท้องบวม จนชีพค่อย ๆ ขาดสิ้นไป  บัดนี้  หมู่ข้าพระองค์ได้สดับ กุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตร จากพระองค์  จักขอน้อมรับพุทธบัญชา  จักให้เหล่าบริวาร  แม้ถูกความหิวโหยบีบคั้น ก็มิกล้าเสพกิน  พระพุทธองค์รับสั่งแด่รากษสว่า  เธอทั้งหลายพึงสมาทานศีลจากตถาคต จักยังให้เธอพ้นจากร่างแห่งรากษส และได้ไปอุบัติเพื่อเสวยสุขในเทวภูมิ

          พระพุทธองค์ตรัสแด่มหาชนทั้งหลายว่า  หากมีกุมาร  รับทุกขเวทนา  โรคภัย  มารดาเขาผู้นั้นพึงแบ่งน้ำนมเพียงเสี้ยวธุลี  สละสู่นภากาศ  เป็นทานแด่รากษสทั้งปวง  อีกทั้งอาศัยความบริสุทธิ์ (กาย วาจา ใจอันบริสุทธิ์) ในการรักษากุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตร  คัดลอกสวดท่อง  โรคาพาธก็จักสิ้นไป  บัดนั้นรากษสบังเกิดความโสมนัสยิ่ง  กราบทูลพระพุทธองค์ว่า  เมื่อได้อุบัติในเทวโลกแล้ว ข้าพระองค์และบริวาร จักไม่เบียดเบียนน้ำนมของเหล่ากุมารอีกเลย แม้นต้องกินลูกเหล็กก็ไม่ขอกินเลือดของกุมารทั้งหลาย  หลังพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  หากผู้ใดที่สามารถสวดท่องรักษาพระสูตรนี้  แม้นมีคนชั่วคิดให้ร้ายธรรมจารย์  ฤามีปีศาจคิดให้ร้ายกุมาร  ข้าพระองค์ทั้งหลายจักใช้พุทธวัชรคฑาอารักขาปกป้อง มิให้ปีศาจทำร้ายเขาเหล่านั้นได้ 

          สมัยนั้นปวงเทวมหาราช พร้อมด้วยบริวาร  นาคราชทั้งหลาย  ยักษาธิราชทั้งหลาย อสุรินทราชา ครุฑราชา กินนรราชา มโหราคราชา เปรตราชา ปีศาจราชา ปูตนาราชา(รากษสี (รากษสหญิง))  จนถึงกฏปูตนะ(รากษสตนหนึ่ง) เป็นต้น  ผู้เป็นราชาพร้อมเหล่าบริวาร ต่างอภิวาทพระโลกนาถ ประคองอัญชลี แล้วทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถ นับแต่นี้ไปข้าพระองค์ทั้งหลาย  ในทุกแห่งหน  หากมีภิกษุ  ภิกษุณี  เหล่าอุบาสก อุบาสิกา  ที่เจริญรักษา  หรือจารึกคัดลอกจิรายุวัฒนสูตรนี้  ข้าพระองค์และบริวาร  จักเฝ้าปกปักพิทักษ์อยู่เป็นนิจ  ปวงราชาอย่างข้าพระองค์ทั้งหลาย  จักขับไล่หมู่ปีศาจร้าย  หากมีปีศาจร้ายที่เบียดเบียนสรรพสัตว์ ให้บังเกิดทุกขเวทนาโรคภัย หากเขา (ผู้ป่วย) เหล่านั้นสามารถใช้จิตอันบริสุทธิ์คัดลอก  รักษาสวดท่องพระสูตรนี้  ปวงราชาอย่างข้าพระองค์ทั้งหลาย  จักยับยั้งเหล่าปีศาจมิให้เข้ามาทำร้าย  ให้เป็นทุกข์และตายโหง

          ครั้งนั้น  ปฤถิวีเทพ(พระธรณี เทพแห่งแผ่นดิน) ได้ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วกราบทูลดังนี้ว่า  ข้าแต่พระโลกนาถ  หากมีสาวกแห่งพระพุทธเจ้า  ได้รักษากุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรนี้ หมู่ข้าพระองค์ผู้เป็นธรณีเทพ จักยังให้กลิ่นแห่งดิน คอยมอบความชุ่มชื่นแกบุคคลนั้น  เพื่อให้เขามีอายุขัยเพิ่มพูน พวกข้าพระองค์จะมอบเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ธัญญาหารแด่ผู้มีจิตศรัทธานี้มิให้ขาด  ให้มีร่างกายที่แข็งแรงปลอดภัย  ไม่มีทุกข์กลัดกลุ้ม มีจิตใจโสมนัสอยู่เสมอ ได้รับเนื้อนาบุญที่ดี มิให้ปีศาจร้ายยังชะตาชีวิตให้ขาดสิ้น หากกุมารทั้งหลายที่ถือกำเนิดใน ๗ วัน  หมู่ข้าพระองค์ผู้เป็นธรณีเทพ จักคอยอารักขา มิให้ชีวีขาดสิ้น

          ครั้งนั้นท่ามกลางมหาชน  เทพวัชรปาณีพลิน  ได้ทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า  เมื่อพระตถาคตได้แสดงกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรนี้แล้ว  บรรดามหาทานปติ(ผู้ให้ทานอันยิ่งใหญ่)  อีกทั้งบริวารทั้งหลาย  ต่างบังเกิดจิตศรัทธาตั้งมั่นที่จะรักษา  สวดท่องสาธยาย  คัดลอกพระสูตรนี้  เพื่อแจกจ่ายแด่ผู้ที่ต้องการ  มิให้ตกหล่นขาดแคลน  ข้าพระองค์ได้สดับองค์พระภควันต์แสดงมหาฤทธามนตร์อันเป็นมงคลนี้แล้ว  หากมีสรรพสัตว์ใดที่ได้สดับฟังด้วยโสต  ในร้อยกัลป์พันชาติจักมิต้องมีอายุสั้น  ได้อายุอันไม่มีประมาณ  ไร้โรคาทุกข์  แม้จะมีมารทั้งสี่  ก้มิอาจก่อกวนกล้ำกราย  เพิ่มพูนอายุขัย  ให้เต็ม  ๑๒๐  มิชรา  มิมรณะ  ไร้โรคาทุกข์  มิถดถอยมิเสื่อมหาย  พุทธบุตรทั้งหลาย หากป่วยเป็นโรคร้าย เมื่อได้สดับมนตร์นี้แล้ว ก็จะรอดจากการถูกปีศาจทั้งปวงฉุดคร่าชีวิต จึงกล่าวเป็นมนตร์ว่า..


          ตทฺยาถา จนฺทฺริ จนฺทฺร-วิเท จนฺทฺรม หูมํ จนฺทฺรวเต จนฺทฺรวเต จนฺทฺร-ปูเร จนฺทฺร-ชเย จนฺทฺร-ติเร จนฺทฺร-วิเม จนฺทฺร-ธุรุ จนฺทฺร-ปรเภ จนฺทฺร-อุตฺตเร จนฺทฺร-ปติเย จนฺทฺร-ภาเม จนฺทฺร-ขฑฺเค จนฺทฺรา โลเก สฺวาหา 

          (ตัทยาถา จันทริ จันทระ-วิเท จันทระมะ หูมัง จันทระวะเต จันทระวะเต จันทระ-ปูเร จันทระ-ชะเย จันทระ-ติเร จันทระ-วิเม จันทระ-ธุรุ จันทระ-ประเภ จันทระ-อุตตะเร จันทระ-ปะติเย จันทระ-ภาเม จันทระ-ขัทเค จันทรา โลเก สวาหา)

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  สาธุ สาธุ  วัชรปาณีพลิน  บัดนี้เธอสามารถแสดงกุมารปาลศรีมังคละมนตร์นี้  เธอจักเป็นมหานายกะ(ผู้นำ (อาจารย์)ที่ยิ่งใหญ่) ของสรรพสัตว์ทั้งปวง  มัญชุศรีพึงทราบเถิดว่า  เทวามนตร์นี้  ปวงพระพุทธเจ้าทั้งปวงในอดีตล้วนได้แสดงไว้  ผู้ที่ธำรงรักษาสามารถเพิ่มพูนอายุขัยให้มนุษย์และเทพ สามารถขจัดบาปมลทินและอกุศลทิฐิทั้งปวง  สามารถปกปักผู้ที่ธำรงพระธรรมนี้ให้มีอายุขัยยืนยาว 

          สมัยนั้น  พระโลกนาถตรัสต่อพระมัญชุศรีธรรมราชกุมารว่า  เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ในโลกแห่งความเสื่อมและอกุศล หากมีภิกษุ ละเมิดพระวินัยแห่งตถาคต  อยู่ใกล้ชิดภิกษุณีและเหล่าอิสตรี  หรือสามเณร สามเณรี  ดื่มสุรา  บริโภคมังสะ  กามราคะลุกโชน ถูกปุถุชนทั้งหลายดูแคลน ทำลายธรรมแห่งตถาคต  หรือดำเนินกิจการทางโลกและกิจอันไม่บริสุทธิ์ ปราศจากหิริโอตัปปะ ราวกับเป็นท่อนไม้  พึงทราบว่าบุคคลเหล่านี้  คือเบญจอนันตริยบุคคบล  หาใช่สาวกแห่งตถาคตไม่  แต่เป็นบริวารแห่งมาร  ได้ชื่อว่า เป็นเจ้าลัทธิทั้ง ๖ ภิกษุเหล่านี้ ในปัจจุบันชาติย่อมมีอายุขัยสั้นเป็นวิบาก  เหล่าภิกษุณี เป็นต้น(สามเณร สามเณรี) ก็เป็นเฉกเดียวกัน  หากสามารถสำนึกขอขมา  มิกระทำซ้ำ  อีกทั้งรักษาพระธรรมนี้จึงจะได้รับซึ่งอายุขัยอันยืนยาว 

          ดูก่อนมัญชุศรี  เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  หากมีพระโพธิสัตว์ กล่าวให้ร้ายผู้อื่น  ยกย่องกุศลความดีของตน มิถ่ายทอดมหายานธรรมแก่ผู้อื่น พระโพธิสัตว์เช่นนี้ คือ สหายแห่งมาร  หาใช่พระโพธิสัตว์แท้  หากสามารถอาศัยปรมัตถ์จิต  ธำรงรักษาพระสูตร  คัดลอกสวดท่อง  จักบรรลุนิตยกายอันมิเสื่อมของพระพุทธเจ้าทั้งปวง

          ดูก่อนมัญชุศรี  เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ยามที่โลกตกสู่ความเสื่อมและอกุศล  หากมีพระราชา  กระทำการปิตุฆาต  ทำร้ายมารดร ประหารญาติทั้ง  ๖  มิดำเนินในราชธรรม  ก่อสงครามรุกรานประเทศอื่น ขุนนางที่ทัดทานด้วยความดีกลับถูกลงทัณฑ์ประหาร  มัวเมาในกามราคะ  ละเมิดราชธรรมแห่งราชาในอดีต  ทำลายสถูปอาราม  เผาพระธรรมคัมภีร์  และพระปฏิมา  จักต้องพบกับภัยแล้ง อุทกภัย  เหตุเพราะราชาไร้ธรรม  ประชาราษฎร์อดอยาก เกิดโรคระบาดล้มตาย พระราชาเช่นนี้ ในปัจจุบันชาติย่อมมีพระชนม์สั้น  เมื่อสวรรคตย่อมตกสู่นรกภูมิ  ตกสู่อเวจีมหานรก  แต่หากสามารถคัดลอกพระธรรมนี้  เผยแผ่สักการะ  สำนึกขอขมาด้วยความศรัทธาอย่างที่สุด  ดำเนินปฏิบัติตามราชธรรม จักได้รับพระชนมายุที่ยืนยาว








          

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร หน้า 4

          สมัยนั้น  ท้าวสักกรินทร์เทวราช  จึงนิรมิตองค์เป็นมนุษย์  ๔๙  คน  มายังที่พำนักแห่งนางวิปลาส (กล่าวว่า) "ข้าพเจ้ายินดีคัดลอกพระสูตรนี้แทนท่าน  เมื่อท่านเห็นแล้ว  ค่อยขายดวงตา"   บัดนั้นนางวิปลาสเกิดความยินดีเหลือประมาณ  ได้เลาะกระดูกเป็นพู่กัน  กรีดเฉือนเนื้อเพื่ออาศัยโลหิตเป็นหมึก มอบให้กับผู้คัดลอก  ผ่านไปเจ็ดทิวา  จึงคัดลอกพระสูตรแล้วเสร็จ  เมื่อผู้คัดลอกเขียนเสร็จ  จึงกล่าวแก่นางวิปลาสว่า  "ตามที่ท่านได้ปรารถนามอบดวงตาทั้งสอง  บัดนี้งานของข้าพเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว  โปรดจงมอบให้กับเราเพื่อขายแด่พราหมณ์เถิด"

          กาลนั้น  นางวิปลาสได้สั่งต่อจัณฑาลว่า  "เธอจงควักดวงตาของเราออกมา  แล้วแบ่งเป็น  ๔๙  ส่วน เธอก็รับไปหนึ่งส่วน"  ครั้นจัณฑาลได้ควักดวงตาตามวิธี ทั้ง  ๔๙  คนต่างร้องขึ้นพร้อมกันว่า  "หาได้ยากนัก ๆ !  อัศจรรย์ยิ่งนัก !  นางวิปลาสผู้นี้ได้เลาะกระดูก  กรีดโลหิต  สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดทรมาน มิเสียดายต่อชีพสังขาร เพื่อคัดลอกพระสูตรนี้ พวกเราจะเอาดวงตาไปได้อย่างไร  จึงกล่าวต่อนางวิปลาสด้วยความเมตตากรุณาว่า  "พวกเรามิโลภหวังที่จะขายดวงตาของท่านให้พราหมณ์แล้ว  หวังเพียงเมื่อท่านได้บรรลุธรรมแล้ว  โปรดมาฉุดช่วยเราด้วย  พวกเราขอให้ ในทุกแห่งหน ในชาติอนาคต  จะได้อยู่ในสถานที่เดียวกันท่าน เป็นกัลยาณมิตร  ประกาศสาธยายพระสูตรนี้ เพื่อฉุดช่วยสรรพสัตว์ผู้ทนทุกข์"


          สมัยนั้น  นันทะนาคราช  เป็นต้น  ได้อาศัยมหาฤทธานุภาพบันดาลลักเอาพระสูตรนางวิปลาสไปยังนาคประสาท  เพื่อน้อมรับปฏิบัติและสักการะ  เพลานั้นชั่วขณะหนึ่งที่นางวิปลาสไม่เห็นพระสูตร  จึงได้ร่ำไห้คร่ำครวญ กราบทูลพระพุทธองค์ว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  ข้าพระองค์ได้ยอมสละกายเพื่อเขียนจิรายุวัฒนสูตร  หมายเผยแพร่แด่สรรพสัตว์ทั้งปวง  บัดนี้ข้าพระองค์พลันมิทราบว่าอยู่แห่งใด ดวงหทัยของข้าพระองค์ขุ่นหมองกลัดกลุ้มสุดจะทนแล้ว


          พระสมันตประภาตถาคตตรัสแก่นางวิปลาสว่า  อันพระสูตรของเธอ ได้มีนาคราชแห่งอัษฏคติ  ได้อันเชิญไปยังนาคประสาทเพื่อน้อมรับจดจำและสักการะแล้ว  เธอจงปีติยินดี  อย่าได้กลัดกลุ้มเลย  สาธุ  นางวิปลาส ด้วยเหตุกำลังแห่งกุศลนี้  เมื่อสิ้นอายุขัย  เธอจักไปเกิดในอรูปภพ  เสวยสุขเกษมต่าง ๆ  และไม่ต้องเกิดกายเป็นสตรีอีกต่อไป

          สมัยนั้นนางวิปลาสกราบทูลพระพุทธองค์ว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ปณิธานของข้าพระองค์  มีได้ปรารถนาอุบัติในทิพยโลก  แต่ปรารถนาที่จะได้พบพระพุทธเจ้าเป็นนิจในทุกภพทุกชาติ  ไม่เสีื่อมถอยจากพุทธจิต  ทุกสถานที่ จักหมั่นแสดงพระธรรมนี้แก่สรรพสัตว์ผู้มีทุกข์บาปทั้งปวง


          พระสมันตประภาตถาคตตรัสว่า  เธอกล่าวปดหรือไม่  นางวิปลาสทูลว่า  หากข้าพระองค์กล่าวปด ขอให้ข้าพระองค์ถูกอนิจภูตเบียดเบียน เช่นในอดีต  หากข้าพระองค์มีใจสัตย์จริง  ขอให้บาดแผลบนกายข้าพเจ้า จงปลาสนาการสิ้นไปต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเถิด  บัดนั้น นางวิปลาสได้อาศัยกำลังแห่งการอธิษฐาน จึงทำให้หายดีดังเดิม


          พระสมันตประภาตถาคตตรัสแก่นางวิปลาสว่า  เธอได้อาศัยเอกจิต ระลึกถึงพระพุทธเจ้า จากพุทธเกษตรหนึ่งยังอีกพุทธเกษตรหนึ่ง เธอจักได้แจ้งในธรรมอันมิอาจแสดงด้วยอักษร  และวจนะจากพุทธเกษตรอันประมาณมิได้ และไร้ขอบเขต  ฉับพลันนั้นนางวิปลาสก็ได้บรรลุอนุตปติกธรรมกษานติ (เห็นแจ้งซึ่งธรรมทั้งปวงว่าไร้ซึ่งการเกิดดับ จึงธำรงจิตตั้งมั่นมิหวั่นไหว และไร้ซึ่งการถดถอย (บางครั้งจึงจัดอยู่ในหมวดสูงสุดของขันติธรรม))  สัมมาสัมโพธิจิต


          มัญชุศรีพึงทราบเถิด  สมันตประภาตถาคต  ก็คือ  เราตถาคต  นางวิปลาส  ก็คือ  เธอ  บุคคลทั้ง  ๔๙  ก็คือ  พระโพธิสัตว์ที่เพิ่งบังเกิดโพธิจิต นับแต่อนันตกัลป์ที่ผ่านมา (ตถาคต)ได้เฝ้าคุ้มครองกาย และแสดงพระสูตรนี้ต่อเธออยู่เป็นนิจ  ยังให้สรรพสัตว์ที่มีอกุศลกรรมทั้งปวง  หากได้สดับ จิรายุวัฒนสูตรนี้แม้เพียงโศลกครึ่งบท  สามารถสลาย  (วิบากกรรม) ให้มลายสิ้น  มาบัดนี้จึงได้แสดงอีกคราหนึ่ง

          สมัยนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล (กษัตริย์องค์หนึ่งแห่งแคว้นโกศล ในสมัยพุทธกาล ทรงเป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า)  ยามราตรีในพระราชวัง ทรงได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งร่ำไห้เสียงดัง  คร่ำครวญด้วยความรันทด  จนบังเกิดจิตเวทนาเป็นยิ่งนักจึงมีพระดำริว่า  ในวังแห่งเรามิเคยบังเกิดเรื่องเยี่ยงนี้มาก่อน เหตุไฉนจึงมีเสียงอันโศกเศร้าเช่นนี้ได้  ในยามอรุณรุ่งจึงมีรับสั่งให้ทหารมุ่งไปยังถนนในเมืองเพื่อตามหาสตรีนางนั้น  เมื่อทหารได้รับบัญชา  ก็ออกตามหาจนพบและนำตัวมา  สตรีนางนั้นบังเกิดความหวาดกลัวจึงหมดสติไปต่อหน้าพระพักตร์ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้นำน้ำเย็น  ประพรมใบหน้าจึงค่อย ๆ  ฟื้นคืนสติ 

          มหาราชได้ตรัสถามว่า  ผู้ที่ร่ำไห้คร่ำครวญเมื่อราตรีก่อนใช่เจ้าหรือไม่ สตรีผู้นั้นกราบทูลตอบว่า  เป็นหม่อมฉันเองที่ได้ร่ำไห้คร่ำครวญ  มหาราชตรัสว่า  ร่ำไห้คร่ำครวญด้วยเหตุอันใด  มีผู้ใดข่มเหงเธอหรือ ?  สตรีนางนั้นทูลตอบว่า  ที่หม่อมฉันเคียดแค้น หาใช่เพราะมีคนข่มเหงไม่ ขอพระองค์โปรดฟังหม่อมฉันกราบทูลด้วย  เมื่อหม่อมฉันอายุ  ๑๔  ได้ตบแต่งไปอยู่บ้านสามี  ผ่านมา  ๓๐  ปี ได้ให้กำเนิดบุตร  ๓๐  คน  ล้วนมีหน้าตางดงาม เส้นผมดำขลับ ริมฝีปากแดงดังชาด  ฟันขาวดุจหยก  รูปร่างน่ารักดุจบุปผาในวสันตฤดู  เป็นที่รักของหม่อมฉันประดุจมันสมอง  เหมือนตับเหมือนไส้  หรือเป็นยิ่งกว่าชีวิต  แต่บุตรเหล่านี้อายุยังไม่ครบปี  เมื่อผ่านสาร์ทและคิมหันต์ก็ตายจากหม่อมฉันไป  บุตรคนสุดท้ายเป็นยิ่งกว่าชีวิตหม่อมฉัน  บัดนี้กลับวิกฤติชีวิตใกล้ดับสูญ เมื่อคืนหม่อมฉันร่ำไห้คร่ำครวญ  โศกเศร้าก็ด้วยเหตุนี้ 

          สมัยนั้นเมื่อมหาราชได้สดับฟังคำดังกล่าว  ก็ให้รู้สึกกลัดกลุ้มพระทัยว่า อันทวยราษฏร์ทั้งปวงล้วนพึ่งพิงอาศัยเรา  หากไม่ช่วยเหลือ ก็มิอาจได้ชื่อว่าเป็นราชา  จึงประชุมบรรดาอำมาตย์ร่วมกันสาธก  พระราชามีอำมาตย์  ๖  คน  หนึ่งนามว่า  เห็นรูป  สองนามว่า  สดับเสียง  สามนามว่า กลิ่นสุคนธ์  สี่นามว่า ปฏิภาณ  ห้านามว่า ตามปัจจัย  หกนามว่า ย้อมง่าย  ได้ทูลพระราชาว่า  ยามที่กุมารถือกำเนิดนั้น  พึงสักการะพระเคราะห์ทั้ง  ๗  และเทพนักษัตรทั้ง  ๒๘  กลุ่ม  เพื่อยืดอายุขัย  จึงจะเว้นจากทุกข์นี้ได้  ขอให้มหาราชทรงประกาศออกไปด้วยเถิด 


          บัดนั้นมีขุนนางผู้ทรงปัญญาท่านหนึ่ง  ผู้เคยปลูกกุศลมูลในสำนักของพระพุทธเจ้าอันประมาณมิได้มาแล้ว  มีนามว่า  สมาธิญาณ ได้ทูลต่อมหาราชว่า  ข้าแต่พระราชา  สิ่งที่อำมาตย์ทั้งหกกล่าวมิอาจเว้นจากทุกข์ได้  ยามนี้มีพระบรมศาสดาจากศากยวงศ์  นามว่า  สิทธัตถะ  เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง  บัดนี้ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า  ทรงแสดงจิรายุวัฒนสูตร  ณ  คิชฌกูฏบรรพต  ขอให้มหาราชเสด็จไปสดับยังที่แห่งนั้น  หากสดับฟังพระสูตรนี้แม้เพียงโศลกครึ่งบท  บรรดาครุกรรมที่มีมานับร้อยกัลป์พันชาติก็จะมลายสิ้น  กุมารทั้งหลาย  เมื่อได้สดับฟังพระธรรมนี้  แม้จะไม่เข้าใจ  แต่ด้วยกุศลแห่งธรรมนี้  ย่อมทำให้มีอายุยืนยาว  พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า  เราเคยได้ยินคณาจารย์ทั้ง  ๖  กล่าวว่า พระโคตมะนี้เป็นผู้ที่ความรู้ตื้นเขิน เยาว์วัยด้อยอายุ ไม่รู้ประสา  อาถรรพ์มงคลมายาการ  ในคัมภีร์ที่คณาจารย์ทั้ง  ๖  ได้รจนา  ก็คือ  ศากยมุนีผู้นี้  หากผู้ใดนับถือเลื่อมใส  ย่อมวิบัติในสัมมามรรค


          สมัยนั้น สมาธิญาณอำมาตย์ได้กราบทูลต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นโศลกว่า..


          พระศากยมุนีผู้เป็นสัตถา  เทวมนุสสานัง(ทรงเป็นครู และศาสดาแห่งเทวดาและมนุษย์)

          ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยามาอนันตกัลป์
          บัดนี้บรรลุพุทธญาณเวียนธรรมจักร
          ประกาศธรรมปวงพระพุทธะแต่นานมา
          มิหลีกลี้จากปณิธานสรรพสัตว์
          เมตตากรุณามหาพละช่วยผู้หลง
          พบพระพุทธะดุจเต่าพบไม้ลอยพ้น
          ดุจพบนบดอกอุทุมพรสุดอัศจรรย์
          ขอมหาราชเสด็จสดับธรรม  อย่าฟังคำเดียรถีย์ครูทั้งหก

          สมัยนั้นเมื่อสมาธญาณกล่าวโศลกจบลง ก็ได้อาศัยอภิญญาลอยจากพื้นดินเหาะสู่นภากาศ สูงเท่าต้นตาล ๗ ต้น บัดดลถึงหน้าพระพักตร์พระราชา ทำการร่ายมนตร์  ในฉับพลันก็ยังให้เขาพระสุเมรุและน้ำในมหาสมุทรมาสถิตอยู่กลางหทัยโดยไร้ความข้องขัด  เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว จึงตรัสชมว่า  หาได้ยากนัก  ช่างเป็นกัลยาณมิตรโดยแท้  จากนั้นจึงแสดงความเคารพต่อสมาธิญาณ  แล้วทูลถามสมาธิญาณว่า  อาจารย์ของท่านคือใครฤา  สมาธิญาณทูลตอบว่า  อาจารย์ของข้าพระองค์  คือ  พระศากยมุนีพุทธเจ้า  บัดนี้ประทับอยู่บนคิชฌกูฏบรรพต  กรุงราชคฤห์  กำลังทรงแสดงจิรายุวัฒนนิโรธรรมสูตร  เมื่อพระราชาได้สดับฟังเช่นนี้  จึงบังเกิดความปีติ โสมนัสในพระทัย  แล้วมอบหมายราชกิจในประเทศให้สมาธิญาณดูแลชั่วคราว  ส่วนพระองค์พร้อมราชตระกูล มหาอำมาตย์ และคหบดี มีราชรถเทียมม้า  แวดล้อมรอบทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง  พร้อมด้วยสตรีนางนี้และบุตรของเธอ  ได้บรรทุกเอาพวงมาลาและเครื่องสักการะนับร้อยประการ  ไปยังคิชฌกูฏบรรพต  กรุงราชคฤห์ ทรงถอดเครื่องประดับทั้งปวง  กระทำการประทักษิณพระพุทธองค์  ๗  รอบ  ประณมกรถวายอภิวาท  โปรยบุปผชาติ สักการะแล้ว  จึงกราบทูลเรื่องราวข้างต้นต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

          สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า  รับสั่งต่อพระปเสนทิโกศลว่า  สตรีผู้นี้ในอดีตเคยเป็นมารดารอง  แต่บังเกิดจิตใจริษยา  ได้วางยาพิษสังหารบุตรของอดีตภรรยา  ๓๐  คน  บุตรที่ได้สังหารต่างได้สาบานว่า  จะขอเกิดเป็นบุตรของนางทุกภพทุกชาติ  และให้พบกับความพลัดพรากให้ต้องเป็นทุกข์ทรมานยิ่ง  บัดนี้สตรีผู้นั้น  ได้สดับจิรายุวัฒนสูตรแม้คาถาหนึ่งบทแล้ว  เจ้ากรรมนายเวรก็ตัดขาดสิ้นไปตลอดกาล


          สมัยนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งแด่มหาชนว่า  เมื่อทารกอยู่ในครรภ์ พญามารก็จะปล่อยจตุมหาอสรพิษ  และโจรโลกีย์ทั้ง  ๖  มายังสังขาร  หากขั้นตอนนั้นมีสิ่งใดไม่ราบรื่น  ชีวิตย่อมแตกดับ  ตถาคตมีธารณีที่สามารถเพิ่มพูนอายุขัยทารก  หากผู้ใดมีทุกขโรค  เมื่อได้สดับธารณีนี้เข้าสู่โสต  ก็ย่อมถูกกำจัดให้หมดไป สามารถทำให้ปีศาจร้าย แตกกระจายไปทั่วจตุรทิศ  ธารณีมนตร์มีดังนี้



          ปทฺมิ ปทฺมิ เทวี กษีนิ กษีนิ กเษมิน จูเร จูเร จูรี หูรา หูรา ยุรี ยุร ยุรี ปร ปริ-มุญฺจ ฉิเท ภิเท ภญฺเช มาเถ ฉิท กเร สฺวาหา 

(ปัทมิ ปัทมิ เทวี กษีนิ กษีนิ กเษมินะ จูเร จูเร จูรี หูรา หูรา ยุรี ยุระ ยุรี ปะระ ปริ มุนจะ ฉิเท ภิเท ภัญเช มาเถ ฉิทะ กเร สวาหา )



          พระพุทธองค์ตรัสว่า  อักษรแต่ละประโยคแห่งธารณี  หากกุลบุตร กุลธิดาใด  ได้น้อมรับสวดท่องสาธยายแด่ทารกในครรภ์  นอกครรภ์ที่ได้รับ ทุกขโรค  ในเวลา  ๗  ทิวาราตรี  เผาเครื่องหอม โรยบุปผชาติ  จารึกคัดลอกบูชา  สดับฟังด้วยที่สุดแห่งใจแล้วไซร้  โรคภัยทั้งปวง  กรรมวิบากในอดีตก็จักมลายไปสิ้น


          สมัยนั้น  แพทย์ราชาโพธิสัตว์  นามว่า  ชีวกะ  ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ข้าพระองค์เป็นแพทย์ใหญ่  รักษาซึ่งสรรพโรคา  อันทารกทั้งหลาย มีโรค  ๙  ประการที่ทำให้อายุสั้น  ทั้ง  ๙  นั้นคือ  สิ่งใด  หนึ่งคือ บิดามารดามีความสัมพันธ์ผิดกาละ  สองคือ ยามคลอดโลหิตตกต้องพื้น ทำให้เทพแห่งปฐพีมิอาจสถิต ผีร้ายจึงรบกวน  สามคือ ยามคลอดมิได้ชำระเชื่อโรคให้หมดสิ้น  สี่คือ มิได้ใช้นุ่นอ่อนนุ่มซับเลือดจากครรภ์  ห้าคือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อจัดงานเลี้ยงสังสรรค์  หกคือ มารดาผู้นั้นรับประทานผลไม้ธาติเย็น  เจ็ด เมื่อทารกป่วยไข้ให้กินแต่เนื้อ  แปด ในยามแรกคลอด บุตรกับมารดายังมิได้แยกออก(ยังไม่ตัดสายสะดือ)  หากพบสิ่งอัปมงคล อยู่ในที่คลอด หากยังไม่แยก จักทำให้มารดามรณะ หากแยกแล้ว จะทำให้ทารกสิ้นชีพ  สิ่งอัปมงคลคือสิ่งใด  หากดวงตามนุษย์พบเห็นซากศพทั้งหลาย  หรือสิ่งแปลกประหลาด ยังให้ดวงตาไม่บริสุทธิ์  เรียกว่า อัปมงคล  หากใช้โคโรค(สมุนไพรจีน ภาษาจีนออกเสียง หนิวหวง (Calculus bovis))  ไข่มุก  จูซา(แร่ Cinnabar) บดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งให้ทารกกินจะช่วยให้จิตใจสงบ  พ้นจากสิ่งอัปมงคลได้  เก้าคือ สัญจรยามราตรีแล้วถูกปีศาจทำร้าย  หากกุมารทั้งหลายสามารถระวังในสิ่งทั้ง ๙ นี้  ก็จะรอดจากมรณากาลได้  

          ยามนั้นเทวพญามาร ผู้มีเจโตปริยญาณ(เจโตปริยญาณ หมายถึง รู้ใจผู้อื่นได้)  สถิตอยู่ ณ มณเฑียรมาร  เมื่อทราบว่า  พระพุทธเจ้าทรงแสดงกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมธารณี  ในใจจึงบังเกิดโทสะ  ตวาดด้วยเสียงอันดัง  กลัดกลุ้มไม่เป็นสุข  พญามารมีธิดาอยู่  ๓  ได้ทูลถามพระบิดาว่า  ข้าแต่องค์มหาราช  เหตุไฉนจึงเป็นกังวลเช่นนี้เล่า  พระราชบิดาจึงตรัสตอบว่า  สมณโคดมประทับอยู่ ณ คิชฌกูฏบรรพต กรุงราชคฤห์  เพื่อสรรพสัตว์อันประมาณมิได้ ทรงแสดงจิรายุวัฒนสูตร  ยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงอายุยืนพูนสุขจนสะเทือนมาถึงดินแดนของเรา  เราจึงบังเกิดอกุศลจิตปรารถนาที่จะนำบริวารมารเสนาทั้งหลายไปราวี  แม้มิอาจหยุดสมณโคดมได้  เราจักอาศัยฤทธานุภาพเพื่ออุดโสตเทวดาและสรรพสัตว์ทั้งหลาย มิให้ได้ยินที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจิรายุวัฒนสูตร  บัดนั้น ธิดามารทั้งสามจึงทูลทัดทานพระราชบิดาเป็นโศลกว่า  


     วสวัตตีมารมีสามพระธิดา               ถวายบังคมพระบิดาแล้วทูลว่า

     สมณโคดมบรมครูมนุษย์เทวา        มิอาจใช้ฤทธิ์มารมายับยั้ง
     กาลก่อนใต้ต้นศรีมหาโพธิ             คราทรงคู้สมาธิธรรมบัลลังก์
     สามนารีใช้มารยาประโลมหว่าน     บนสวรรค์เป็นเอกในเทวกัญญา
     ร้อยท่วงท่ายวนยั่วเย้าราคะ           โพธิสัตว์ ธ สิ้นมลทินตัณหา
     พินิจเราดุจสตรีเฒ่าชรา                 จนบรรลุสัมมาสัมโพธิยาจารย์
    พระบิดาเหนี่ยวคันศรน่าหวาดหวั่น นภานั้นเปี่ยมศาสตรามาประหาร
     โพธิสัตว์แลดุจทารกเล่นกัน           มิประหวั่นระย่นย่อในดวงมาลย์
    บัดนี้ทรงบรรลุเป็นธรรมราชา         ขอพระบิดาระงับอกุศลจิตเทอญ
          
          สมัยนั้นเมื่อพญาวสวัตตีมาร ได้สดับโศลกแห่งธิดา จึงได้นำพาจัดสรรบริวารใหม่ (แล้วตรัสว่า)  เราและพวกเจ้า จักไปยังสำนักแห่งพระพุทธเจ้า อาศัยอุบายอันแยบยล  แสร้งยอมศิโรราบคล้อยตาม  เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเชื่อ  หากพระพุทธองค์ทรงหลงเชื่อแล้ว ค่อยใช้นานามารอุบาย  เพื่อกั้นขวางพระธรรมนี้  ครั้นดำเนินพร้อมด้วยบริวารมายังสำนักแห่งพระพุทธเจ้า  ประทักษิณาวัตร  ๗  รอบ  แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  ทรงแสดงธรรมมิได้เหน็ดเหนื่อยเลยหรือ  วันนี้ข้าพระองค์ได้นำพาบริวารแห่งมาร มาเพื่อสดับฟังจิรายุวัตฒนสูตร  พร้อมปวารณาเป็นพระสาวก  ขอพระองค์โปรดอย่าได้ปฏิเสธเลยพระเจ้าข้า

          บัดนั้นพระผู้มีพระภาค  รับสั่งตำหนิพญามารว่า  "เมื่อคราวเธออยู่ปราสาทได้บังเกิดโทสะ และวางอุบายแสร้งคล้อยตาม ทว่าธรรมแห่งตถาคต ย่อมมิอาจให้เธออำพรางเสแสร้ง  ยามนั้นพญามารรู้สึกละอายจนหน้าถอดสี  กราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า  ข้าแต่พระโลกนาถ  เป็นอุบายอันโง่เขลาของข้าพระองค์ที่คิดจะกระทำการลวงต่อพระธรรมนี้  หวังวอนให้พระโลกนาถเจ้า โปรดแผ่พระมหาเมตตากรุณา  ประทานอภัยในความผิดที่ข้าพระองค์ที่ล่วงละเมิด  บัดนี้ข้าพระองค์ได้สดับในกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมธารณี แล้วขอตั้งปณิธานว่า  หากอนาคตในยุคท้ายปลายกัลป์  ณ  แห่งใดที่มีผู้น้อมรับเจริญรักษาพระสูตรนี้ ได้จารึกคัดลอก อ่านท่องสาธยาย ข้าพระองค์จักพิทักษ์รักษา  มิให้เหล่าภูตผีปีศาจมาราวี  หากแม้นในนรกมีคนบาปผู้ใดที่สามารถระลึกท่องพระสูตรนี้แม้เสี้ยวเวลาหนึ่ง  ข้าพระองค์จะอาศัยมหาฤทธา ยังน้ำในมหาสมุทร  ชโลมแด่คนบาปผู้นั้น  เพื่อให้มหานรกกลายเป็นดุจสระโบกขรณี










วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร หน้า 3



"กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร"


          ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับ  ณ  คิชฌกูฏบรรพต  กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่  ๑,๒๕๐ รูป  ปวงมหาโพธิสัตว์  ๑๒,๐๐๐ องค์  อีกทั้งทวยเทพ นาค และเทพภูติจากคติทั้ง  ๘ (ภูตคติ ๘ มี ๒ กลุ่ม หนึ่งคือ เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค  อีกกลุ่มคือ  คนธรรพ์ ปีศาจ กุมภัณฑ์ เปรต นาค รากษสี ยักษ์ รากษส)  มนุษย์และ อมนุษย์ ต่างมาร่วมประชุมสันนิบาตเพื่อสดับการแสดงธรรม

          ก็โดยสมัยนั้นพระโลกนาถได้อาศัยพุทธานุภาพ  เปล่งฉัพพรรณรังสี รังสีทั้งห้า  สีเขียว เหลือง แดง ขาว เป็นอาทิ ท่ามกลางสีต่าง ๆ มีนิรมานกายแห่งพระพุทธเจ้าอันประมาณมิได้  ต่างสามารถดำเนินในพุทธกิจอันเป็นอจินไตย  แต่ละนิรมานกายของพระพุทธเจ้า  มีนิรมานกายของพระโพธิสัตว์อันประมาณมิได้  ที่สรรเสริญพระพุทธคุณอยู่  รังสีวิเศษสุขุมจนยากหยั่งถึง เบื้องบนจรดเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ  เบื้องล่างจรดอเวจีมหานรก  และนิรยสถานอีกแปดหมื่น  โดยไม่มีที่ใดมิได้ส่องถึง  สรรพสัตว์ผู้ได้ประสบกับพุทธรังสีนี้ ย่อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า  และบรรลุในอุปจารสมาธิทั้งสิ้น

          ท่ามกลางสรรพสัตว์นั้น มีพระโพธิสัตว์ผู้เพิ่งบังเกิดโพธิจิต  ๔๙ คน ล้วนปรารถนา จักขอความมีอายุวัฒน์จากพระพุทธองค์ แต่มิอาจทูลถาม  ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์มัญชุศรีได้ล่วงรู้ในความสงสัยนั้น จึงลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าด้วยการลดไหล่ขวา  ประคองอัญชลีมายังพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามว่า  ข้าพระองค์พบว่าในสันนิบาตนี้มีผู้ที่มีความสงสัย บัดนี้ปรารถนาใคร่ทูลถาม  ขอพระตถาคตโปรดสดับด้วยเถิด

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  สาธุ สาธุ สาธุ มัญชุศรี เธอมีข้อสงสัยใด ก็ถามมาเถิด
          พระมัญชุศรีทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  สรรพสัตว์ทั้งหลายในโอฆสงสาร(โอฆสงสาร หมายถึง การท่องเที่ยวอยู่ในห้วงน้ำ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด) กระทำอกุศลกรรมต่าง ๆ กัลป์แล้วกัลป์เล่า วนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหก  แม้นได้กายเป็นมนุษย์ ก็ได้รับวิบากให้อายุสั้น  จักทำไฉนจึงมีอายุขัยยืนยาว  สลายปวงอกุศลกรรมได้  ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงในธรรมแห่งความอายุวัฒน์ด้วยเทอญ

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  ม้ญชุศรี  เธอมีมหาเมตตาอันหาที่สุดมิได้ ที่ได้ระลึกถึงสรรพสัตว์ผู้มีบาปและเป็นทุกข์  จึงสามารถถามในสิ่งนี้  แต่หากตถาคตกล่าว สรรพสัตว์ทั้งหลายก็มิอาจศรัทธาน้อมรับ

          พระมัญชุศรีได้ทูลถามซ้ำว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  ผู้เป็นพระสัพพัญญู เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นเสมือนบิดาผู้มีมหาเมตตาปกแผ่มวลสรรพสัตว์  ทรงเทศนาด้วยเอกสำเนียง  ทรงเป็นมหาธรรมราชา  จึงขอให้พระองค์โปรดสงสาร ตรัสแสดงด้วยไพศาลด้วยเทอญ

          พระพุทธองค์ทรงแย้มสรวลแล้วตรัสแด่มหาชนว่า  เธอทั้งหลายพึงสดับฟังเถิด ตถาคตจะกล่าวแด่เธอ  มีโลกธาตุหนึ่งนามว่า ศุทธิวิมล โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมันตประภาสัมมาทัศนะ เป็นผู้ที่เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ผู้ห่างไกลจากกิเลสและควรบูชา  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ สมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว  เป็นผู้รู้แจ้งในโลก  เป็นผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอมิได้  เป็นผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก  เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก  มีพระโพธิสัตว์อันประมาณและหาขอบเขตมิได้ แวดล้อมอยู่ด้วยความเคารพ

          ในพุทธกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีอุบาสิกานางหนึ่งนามว่า วิปลาส ได้ยินว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกจึงปรารถนาจะออกผนวช นางได้ร่ำไห้คร่ำครวญทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้ามีอกุศลกรรมและปรารถนาที่จะสำนึกขอขมา  ขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดสดับฟังข้าพเจ้าด้วยเถิด

          ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้ตั้งครรภ์เป็นเวลาแปดเดือนเต็ม  แต่ด้วยครอบครัวมิปรารถนาทารกนี้ (ข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจึงได้รับประทานยาพิษสังหารบุตรทำลายครรภ์  บุตรที่สิ้นชีพนั้นได้บริบูรณ์แล้วซึ่งลักษณะแห่งมนุษย์  แต่เคยได้ยินผู้ทรงปัญญากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  หาก (ผู้ใด) ทำลายครรภ์ บุคคลนั้นในปัจจุบันชาติย่อมเป็นโรคร้าย  อายุขัยสั้น  อีกทั้งต้องตกสู่นรกอเวจี  รับทุกขเวทนาแสนสาหัส  บัดนี้ข้าพเจ้าใคร่ครวญแล้ว  จึงบังเกิดความโศกเศร้าและหวาดกลัวยิ่งนัก  ขอให้พระโลกนาถโปรดอาศัยเมตตากรุณานุภาพ แสดงธรรมแด่ข้าพเจ้า ให้ได้ออกผนวชและพ้นจากทุกข์นั้นด้วยเถิด

          สมัยนั้น  พระสม้ันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ตรัสแก่นางวิปลาสว่า  โลกนี้มีกรรม  ๕  ประเภทที่การสำนึกขอขมายากจะลบล้างได้  ๕  ประการใดฤา  หนึ่งคือฆ่าบิดา สองคือฆ่ามารดา สามคือประหารครรภ์ สี่ยังให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ห้าทำให้คณะสงฆ์แตกแยก  อกุศลกรรมเหล่านี้ (ในอนันตริยกรรมทั้งห้า ได้แก่ ปิตุฆาต มาตุฆาต ประหารครรภ์ โลหิตุปบาท สังฆเภท  โดยในข้อประหารครรภ์ พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้อธิบายขยายความหมายรวมไปถึงการ อรหันตฆาต หรือ "การฆ่าพระอรหันต์" การประหารครรภ์ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการฆ่าพระอรหันต์ เนื่องจากลักษณะพิเศษของพระอรหันต์ ก็คือ ผู้ที่บริสุทธิ์ไร้กิเลส  ดังนั้นการฆ่าเด็กในครรภ์ จึงมีบาปเหมือนฆ่าพระอรหันต์ จะแตกต่างกันก็คือ พระอรหันต์ได้อาศัยกำลังของตนจนสามารถพ้นจากอาสวกิเลส  และหลังจากบรรลุแล้วจะไม่ถอยหลังกลับอีก  ขณะที่ทารกในครรภ์ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ก็อาจจะหลงไหลในผัสสะ  จนตกไปเป็นเวยไนย แต่ไม่ว่าหลังจากเกิดมาจะตกไปในกิเลสหรือไม่ ทว่าในขณะที่อยู่ในครรภ์ ก็ยังเป็นภาวะอันบริสุทธิ์เหมือนพระอรหันต์) เป็นบาปอันยากจะดับได้

          กาลนั้น นางวิปลาสได้คร่ำครวญหวนไห้ หลั่งน้ำตาดั่งสายฝน หมอบกราบเบญจางคประดิษฐ์ ณ เบื้องพระพักต์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ผู้ธำรงมหาเมตตาฉุดช่วยรักษาสรรพสิ่ง  ได้โปรดเวทนา แสดงธรรมโปรดข้าพเจ้าด้วยเถิด

          พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ตรัสย้ำว่า อกุศลกรรมนี้ของเธอจัก(ยังให้)ต้องตกสู่อเวจีมหานรกโดยมิได้หยุดพัก ท่ามกลางนรกร้อน ประเดี๋ยวสายลมหนาวโบกโชย  คนบาปนั้นจักรู้สึกเหน็บหนาว  ในนรกเย็นประเดี๋ยวมีลมร้อนโบกพัด คนบาปนั้นจักรู้สึกร้อน  หากแต่อเวจีมหานรก หาเป็นเช่นนั้นไม่  เพลิงจากเบื้องบนจะพวยพุ่งจนถึงเบื้องล่าง ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นกำแพงเหล็ก ด้านบนมีตาข่ายเหล็ก ทวารตะวันออกตกทั้งสี่ด้านมีเพลิงกรรมอันเร่าร้อน  หากมีเพียงบุคคลเดียว ก็จักเต็มนรกขุมนี้ มีกายสูงแปดหมื่นสี่พันโยชน์  แม้นมีหลายคน ก็จักเต็มเช่นกัน  กายแห่งคนบาป จักมีอสรพิษเหล็กยักษ์พิษร้ายแรง เจ็บปวดทรมานยิ่งด้วยเพลิงอันเร่าร้อน  บ้างเข้าทางปาก บ้างเข้าทางจักษุโสต ผูกรัดรอบกาย กัลป์แล้วกัลป์เล่า ข้อต่อแขนขาของคนบาป จะปรากฏเปลวเพลิงเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ  ทั้งมีอีกาเหล้กคอยจิกกินเนื้อ  บ้างมีสุนัขทองแดงขบกัดร่างกาย  นายนิรยบานหัววัว  กุมถืออาวุธ ตวาดดุร้ายราวอสนีบาต  ด้วยเหตุที่เจ้าได้ทำลายครรภ์  จึงพึงรับทุกขเวทนานี้  หากตถาคตกล่าวมุสาแล้วไซร้ ย่อมมิได้ชื่อว่าเป็นพุทธะ

          สมัยนั้นเมื่อนางวิปลาสได้สดับฟังพุทธดำรัสแล้ว  ก็ร่ำไห้ปริ่มขาดใจฟุบลงกับพื้น  แล้วกราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค มีเพียงข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ต้องได้รับทุกขเวทนานี้   ฤามีสรรพสัตว์อื่นที่ได้รับทุกข์เฉกนี้ด้วย 

           พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสแก่นางวิปลาสว่า  บุตรของเธออยู่ในครรภ์ สมบูรณ์ด้วยมนุษย์ลักษณะ อยู่ระหว่างกระเพาะ ลำไส้ อุปมาดังนรกที่มีศิลาสองก้อนกดทับกาย หากมารดากินอาหารร้อน (บุตร) ก็เหมือนอยู่ในนรกร้อน มารดากินอาหารเย็น ก็ราวอยู่ในนรกเย็น  ทุกข์ทรมานตลอดวันท่ามกลางความมืดมิด (กระนั้นแล้ว)  เธอยังมีใจบาปกลืนกินยาพิษ อกุศลกรรมของเธอนี้ จักยังให้ตกสู่อเวจี มีคนบาปในนรกเป็นสหาย

          นางวิปลาสโศกเศร้าคร่ำครวญ แล้วกราบทูลว่า  ข้าพเจ้าได้ยินผู้ทรงปัญญากล่าวเฉกนี้ว่า  หากสร้างความชั่วทั้งปวง  แต่แล้วได้พบพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์  เมื่อขมากรรมแล้วย่อมดับกรรมได้  เมื่อดับชีวิต จะต้องตกสู่นรก  หาก (บุตรหลาน) ได้สร้างบุญเล็กน้อย จักได้เกิดบนสวรรค์  ข้อนี้เป็นไฉน  ขอพระองค์โปรดตรัสแก่หม่อมฉันด้วย

          พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสแด่นางวิปลาสว่า  หากมีเวไนยสัตว์ใดที่ได้สร้างปวงครุกรรม เมื่อพบพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ (พระสงฆ์ผู้บำเพ็ญอย่างบริสุทธิ์) แล้วขมากรรมด้วยความจริงใจ  ไม่กระทำซ้ำอีก  บาปนั้นจะดับสลาย  เมื่อสิ้นชีพแล้ว ก่อนที่องค์ธรรมราชาพญายมราชจะตัดสิน หากญาติทั้ง ๖ ประเภท(ได้แก่ บิดา มารดา พี่ น้อง ภรรยา บุตร) ที่ยังมีชีวิตอยู่ของผู้ตาย  ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ สาธยายมหายานสูตร ภายใน ๗ ทิวา เผาเครื่องหอม(ปัจจุบันคือ การจุดธูป) โปรยบุปผา ยามที่ยมทูตตรวจสอบบุญ บาป ถือธวัชเบญจรงค์มายังตำหนักแห่งพญายมราช เบื้องหน้าและหลังธวัช บรรเลงบทเพลงแซ่ซ้องสาะุการอย่างวิจิตรพิสดาร  ไพเราะอ่อนโยน  แล้วรายงานต่อพญายมราชว่า บุคคลนี้ได้สร้างสมกุศลไว้

          บ้างมีผู้สิ้นชีพจำนวนมากภายใน  ๗  ทิวา (เนื่อจาก) ศรัทธาในมิจฉา มีทิฐิวิปลาส  มิศรัทธาในพุทธศาสนามหายานสูตร ไร้จิตกตัญญู ไร้จิตเมตตา กรุณา  จักมียมทูตถือธวัชดำ  เบื้องหน้าและเบื้องหลังธวัช มีปีศาจร้ายอันประมาณมิได้ รายงานต่อพญายมราชว่า บุคคลนี้สร้างสมอกุศลไว้

          สมัยนั้น  เมื่อพญายมราชธรรมราชาเห็นธวัชเบญจรงค์มาถึง  จิตจึงบังเกิดความปีติโสมนัส  ประกาศก้องด้วยเสียงอันดังว่า  ขอให้กายบาปแห่งข้าพเจ้าจักมีกุศลเช่นท่านด้วย ณ บัดนั้น ท่ามกลางขุมนรก ได้แปนสภาพเป็นบึงน้ำบริสุทธิ์  ภูเขาดาบ ต้นไม้มีด ก็ดุจปทุมมาลย์  วิญญาณบาปทั้งหลายล้วนได้รับความสุขเกษม หากได้เห็นกาฬธวัช  พญายมราชจักพิโรธ ตวาดลั่นด้วยพระสุรเสียงอันดุดัน  แล้วนำคนบาปไปยังนรกสิบแปดขุม  บ้างถูกปีนต้นไม้มีด  บ้างขึ้นภูเขาดาบ  บ้างนอนบนเตียงเหล็กร้อน บ้างกอดเสาทองแดงร้อน  มียมทูตหน้าวัวดึงลิ้น บ้างถูกทุบตำถูกบด ภายในหนึ่งวันตายเกิดหมื่นครั้งวนเวียนเฉกนี้ บ้างต้องสู่อเวจีมหานรก รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส จากกัลป์สู่กัลป์มิได้พักหยุด

          (พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต)  ยังมิทันตรัสจบ  กลางนภากาศ  บังเกิดเสียงตวาดอันดุร้ายว่า  นางวิปลาส เจ้าได้ประหารครรภ์ จักต้องรับวิบาก  คือ อายุสั้น ข้า คือ ยมทูตที่มาจับกุมเจ้า  นางวิปลาสพรั่นพรึงร่ำไห้  ยึดพระบาทแห่งพระตถาคต  ทูลขอให้พระโลกนาถได้โปรดแสดงธรรมปิฎกแห่งปวงพระพุทธเจ้า (ที่สามารถ) ดับซึ่งปัจจัยแห่งบาป เพื่อให้ตายตาหลับด้วยพระเจ้าข้า

          พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตอาศัยพุทธานุภาพ ตรัสแด่ยมทูตว่า  ดูก่อนอนิจภูต  บัดนี้ตถาคตจักแสดงจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรแด่นางวิปลาส  โปรดรอสักครู่ยามแล้วย่อมได้ประจักษ์  จงสดับฟังให้ดีเถิด(นางวิปลาส)  ตถาคตจักกล่าวแก่เธอ  ถึงจิรายุวัฒนสูตรอันเป็นความลับแห่งพุทธเจ้านับพันในอดีต เพื่อให้เธอได้พ้นจากอบายภูมิ

          ดูก่อนวิปลาส  ด้วยอนิจภูตนั้นแม้นร้องขอก็ยากพ้นได้  ต่อให้นำทอง เงิน ไวฑูรย์ บุษราคัม โมรา ทับทิม จำนวนร้อยพันอันประมาณมิได้ มาไถ่ถอนชิวิตก็มิอาจรอดพ้น  แม้นอาศัยอำนาจแห่งพระราชา  ราชบุตร  มหามนตรีคหบดี เมื่ออนิจภูตมาเยือน ย่อมปลิดปลงชีวิตอันล้ำค่าโดยไม่มีละเว้น

          ดูก่อนวิปลาส  มีเพียงพระพุทธเจ้า ที่สามารถเว้นจากทุกข์นั้น  วิปลาสเอย  ในโลกมีบุคคล ๒ ประเภท ที่หาได้ยากยิ่งดุจดอกอุทุมพร(เป็นต้นไม้ในตำนานที่กล่าวกันว่าจะออกผลโดยไม่ผลิดอก โดยสามพันปีจึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง)  หนึ่งคือ  ผู้มิประพฤติในอกุศลกรรม  สองคือ  ผู้มีบาปแล้วสำนึกขอขมาได้  บุคคลเฉกนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง  เมื่อเธอสามารถอาศัยที่สุดแห่งความจริงใจ  สำนึกขอขมาเบื้องหน้าตถาคต  ตถาคตจักแสดงจิรายุวัฒนสูตรแด่เธอ  เพื่อให้เธอพ้นเสียจากทุกข์จากอนิจภูต

          ดูก่อนวิปลาส  ในอนาคตโลกแห่งความวุ่นวายและความเสื่อม  ๕  ประการ  หากมีเวไนยสัตว์กระทำบาปอันสาหัส  ฆ่าและทำร้ายบิดา  มารดา  วางยาพิษทำลายครรภ์  ทำลายสถูปและอาราม  
ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต  ยังให้คณะสงฆ์แตกแยก  บาปกรรมเช่นนี้  เวไนยสัตว์ที่สร้างอนันตริยกรรมทั้ง  ๕  นี้  หากสามารถยอมรับและเจริญในจิรายุวัฒนสูตรนี้  ได้จารึกคัดลอก  อ่านท่องสาธยาย  ทั้งคัดลอกด้วยตนเอง  จ้างวานให้ผู้อื่นคัดลอก  ก็เสมือนบาปนั้นดับสิ้นไป  ได้อุบัติในพรหมโลก  จักประสาอันใดกับเธอที่ได้พบตถาคตด้วยตนเองเล่า  สาธุ  วิปลาส  ในกัลป์อันประมาณมิได้นั้น เธอได้เคยปลูกฝังกุศลมูลทั้งปวงไว้  บัดนี้ด้วยการปุจฉาอันดี  และการสำนึกขอขมาด้วยใจจริงของเธอ  จักสามารถเวียนซึ่งอนุตตรธรรมจักร  สามารถฉุดช่วยให้พ้นจากโอฆสงสารอันไร้ขอบเขต  สามารถผจญกับพญามารวสวตี และโค่นล้มธวัชแห่งวสวตีมารได้  เธอพึงสดับฟังเถิด  ตถาคตจักแสดงปฏิจจสมุปบาทธรรมแห่งปวงพระพุทธเจ้าในอดีต

          อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป  นามรูปเป็นปัจจัยของสฬายตนะ  สฬายตนะเป็นปัจจัยของผัสสะ  ผัสสะเป็นปัจจัยของเวทนา  เวทนาเป็นปัจจัยของตัณหา  ตัณหาเป็นปัจจัยของอุปาทาน  อุปาทานเป็นปัจจัยของภพ  ภพเป็นปัจจัยของชาติ  เพราะชาติจึงมีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส 

          เมื่ออวิชชาดับสังขารจึงดับ  เมื่อสังขารดับวิญญาณจึงดับ  วิญญาณดับนามรูปจึงดับ  เมื่อนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ  เมื่อสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เมื่อผัสสะดับเวทนาจังดับ  เมื่อเวทนาดับตัณหาจึงดับ  เมื่อตัณหาดับอุปาทานจังดับ  เมื่ออุปาทานดับภพจึงดับ  เมื่อภพดับชาติจึงดับ  เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ

          พึงทราบเถิดวิปลาส  สรรพสัตว์ทั้งปวงมิอาจเห็นในปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นเหตุให้เป็นทุกข์เวียนว่ายเกิดตาย  หากมีผู้ใดเห็นในปฏิจจสมุปบาท  ก็คือเห็นในธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระพุทธะ  เห็นพระพุทธะ ก็คือเห็นในพุทธภาวะ  เพราะเหตุดังฤา  พระพุทธเจ้าทั้งปวงล้วนอาศัยสิ่งนี้เป็นภาวะ  บัดนี้เธอได้สดับฟังตถาคตแสดงปฏิจจสมุปบาท  และบัดนี้เธอได้บรรลุในพุทธภาวะอันวิสุทธิ์  เป็นดังภาชนะธรรม  ตถาคตจักแสดงเอกธรรมแด่เธอ  จงตรึกตรองโดยแยบคาย จงเฝ้ารักษาเอกจิต  เอกจิต นั้นก็คือ โพธิจิต โพธิจิตนั้นแลชื่อว่า มหายาน  ปวงพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย  ด้วยเหตุเพื่อสรรพสัตว์แล้ว  จึงแสดงออกเป็นสาม(ตรียาน)  เธอจงหมั่นระลึกและรักษาโพธิจิตเป็นนิจ อย่าให้เลือนหาย  แม้นมีขันธ์  ๕  อสรพิษ ๔  พิษ  ๓  โจร ๖  (ขันธ์ ๕ : รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ,  อสรพิษ ๔ : ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ,  พิษ ๓: โลภ โกรธ หลง,  โจร ๖ : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)  หมู่มารทั้งปวง มาราวี  ที่สุดแล้วก็อย่าได้แปรไปจากโพธิจิต  ด้วยเหตุที่ได้บรรลุโพธิจิตนี้ กายจึงเป็นดั่งวัชระ  จิตเป็นดังอากาศธาตุ  ยากที่จะทำลาย  ด้วยเหตุที่มิอาจทำลาย จึงได้บรรลุซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ  ด้วยเหตุที่บรรลุในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ  นิจจัง สุข อัตตา วิสุทธิ์  จึงบริบูรณ์  สามารถหลีกห่างจากอนิจภูตและทุกข์จากชาติ ชรา โรคา มรณะ แลนรกทั้งปวง 

          เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนี้แด่มหาชน  อนิจภูตกลางนภากาศได้กล่าวขึ้นว่า  ข้าพเจ้าได้สดับฟังพระโลกนาถแสดงธรรมนี้  นรกภูมิก็บริสุทธิ์ กลายเป็นสระโบกขรณี  บัดนี้ข้าพเจ้าได้ละซึ่งภพแห่งภูตแล้ว จากนั้นอนิจภูตจึงได้กล่าวย้ำว่า  นางวิปลาส  เมื่อใดที่ท่านบรรลุธรรมแล้ว  โปรดฉุดช่วยข้าพเจ้าด้วย

          สมัยนั้น  พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสแด่นางวิปลาส  "ตถาคตได้แสดงปฏิจจสมุปบาท และจักแสดงปารมิตา  ๖  แด่เธอ  เธอพึงน้อมรับปฏิบัติรักษา  ปัญญาปารมิตา ฌานปารมิตา วิริยปารมิตา กษานติปารมิตา(ขันติบารมี)  ศีลปารมิตา ทานปารมิตา ปารมิตาทั้ง  ๖  นี้แล ที่เธอพึงปฏิบัติรักษา

          ตถาคตจักแสดงโศลกแห่งปวงพระพุทธะที่บรรลุพุทธะในอดีต ได้ตรัสไว้แก่เธอ  ตรัสโศลกเป็นความว่า...
          สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดและดับเป็นธรรมดา
          บังเกิดแล้วย่อมดับไป ความดับสนิทแล คือ  ความสุข(อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข)

          สมัยนั้น  และเมื่อนางวิปลาสได้สดับธรรมแล้วบังเกิดความปีติโสมนัส ดวงจิตผ่องแผ้ว  แจ่มแจ้งโดยตลอด  อาศัยพุทธานุภาพ  เหาะขึ้นไปกลางนภากาศ  สูงเท่าตาล  ๗  ช่วง  และสงบจิตนั่งสงบอยู่

          บัดนั้นมีพราหมณ์ตระกูลใหญ่ผู้หนึ่ง  ครอบครัวมั่งคั่งหาใครเปรียบ  ได้ป่วยเป็นโรคร้ายกะทันหัน  แพทย์วินิจฉัยว่าต้องใช้ดวงตามนุษย์  มาประกอบโอสถรักษา  เมื่อนั้นมหาคหบดี ได้สั่งให้บริวารเดินไปตามถนนหนทาง  ป่าวร้องด้วยเสียงอันดังว่า  ผู้ใดสามารถทนต่อความเจ็บปวด  ขายดวงตาทั้งสองให้  จักมอบทองคำพันตำลึง  พร้อมรัตนะมีค่าในคลังสมบัติให้ตามต้องการโดยไม่เสียดาย

          นางวิปลาสได้สดับเช่นนี้  ก็บังเกิดความปีติโสมนัส พลางดำริว่า  "บัดนี้ข้าพเจ้าได้สดับจิรายุวัฒนสูตรจากพระผู้มีพระภาคเจ้า  ขจัดสิ้นซึ่งอกุศลกรรม จนจิตใจหมดจด  แจ้งในภาวะแห่งปวงพระพุทธะ  อีกทั้งหลีกห่างจากทุกข์ แห่งอนิจภูตและนรกได้  เราถึงยอมให้ร่างกายนี้แหลกสลายเพื่อตอบแทนพระกรุณาธิคุณแห่งพระพุทธเจ้า"  จึงได้ตะโกนขึ้นว่า  "บัดนี้ เรามีอายุ  ๔๙  นับจากสดับธรรมนามว่า  จิรายุวัฒนสูตร  จากพระผู้มีพระภาคเจ้า  บัดนี้ปรารถนาสละร่างกาย  โดยไม่เสียดายชีพสังขาร  เพื่อคัดลอกจิรายุวัฒนสูตร  ๔๙  ผูก  ด้วยปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้น้อมรับปฏิบัติ  สวดท่องสาธยาย  ข้าพเจ้าจักขายดวงตา  เพื่อคัดลอกพระสูตรนี้  ดวงตาของเราไร้ราคา  แล้วแต่ท่านจะให้ราคาเถิด"